แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 6 เดือนมาแล้วสองครั้งครั้งแรกฐานรับของโจร ครั้งสองฐานลักทรัพย์ เมื่อพ้นโทษไปแล้วไม่ถึง 10 ปี จำเลยกลับมากระทำผิดฐานลักทรัพย์จนศาลพิพากษาจำคุกเกินกว่า 6 เดือนอีกเช่นนี้ แม้ความผิดของจำเลยในครั้งแรกจะต่างกับสองครั้งหลังก็ตาม ก็เป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งอยู่ในประเภทเดียวกัน จึงเข้าเกณฑ์ที่ศาลจะถือได้แล้วว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดติดนิสัยและพิพากษาให้กักกันได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจเป็นคนร้ายเข้าไปในบ้านนายบางแล้วลักเอาทรัพย์ต่าง ๆ ไปโดยทุจริต และก่อนคดีนี้ จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษฐานรับของโจร และลักทรัพย์ โทษจำคุกถึงที่สุดและเกินกว่า 6 เดือนทั้งสองครั้ง หากศาลจะพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ขอให้ลงโทษ เพิ่มโทษและกักกันด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน เพิ่มโทษตามมาตรา 93 กึ่งหนึ่ง รวมเป็นจำคุกจำเลย 2 ปี 3 เดือน ปราณีลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 1 เดือน 15 วัน และกักกันจำเลยไว้มีกำหนด 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกโทษกักกัน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 6 เดือนมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในความผิดฐานรับของโจร ครั้งที่ 2 ฐานลักทรัพย์ และจำเลยกระทำผิดในขณะที่มีอายุเกิน 17 ปีแล้วทั้งสองครั้ง เมื่อจำเลยพ้นโทษครั้งที่ 2 ไปแล้วภายในเวลา 10 ปี จำเลยกลับมาทำความผิดฐานลักทรัพย์จนศาลพิพากษาจำคุกเกินกว่า 6 เดือนสำหรับการกระทำผิดครั้งที่สามนี้อีกเห็นว่า แม้ความผิดของจำเลยในครั้งแรกจะเป็นความผิดฐานรับของโจรมิใช่ลักทรัพย์เหมือนครั้งที่สองและครั้งที่สามก็ตาม แต่ความผิดของจำเลยทั้ง 3 ครั้ง ก็เป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งอยู่ในประเภทเดียวกันกับที่ระบุไว้ในมาตรา 41(8) แห่งประมวลกฎหมายอาญาทั้งสิ้นความผิดของจำเลยที่ได้กระทำในคดีนี้จึงเข้าเกณฑ์ที่ศาลถือได้แล้วว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัย และพิพากษาให้กักกันจำเลยได้ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย