แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์นำสืบ ก.ม.จีนโดยนำเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งสำเร็จวิชา ก.ม.ไทยและเป็นดอกเตอร์ ก.ม.เยอรมันมาเป็นพยานเบิกความว่าพยานได้ทราบ ก.ม.จีนที่อ้างนั้นโดยพยานติดต่อไปทางกระทรวงการต่างประเทศแล้วสถานทูตจีนส่ง ก.ม.นั้นมาให้ เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการของพยานผู้ชำนาญการพิเศษในเรื่อง ก.ม.จีน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเกิดในประเทศไทยบิดาเป็นคนต่างด้าวสัญชาติจีน สมรสกับนายชื้น แซ่เชี้ย คนต่างด้าวสัญชาติจีน เมื่อ ๓๘ ปีมาแล้ว จำเลยได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว พ.ศ.๒๔๘๐ แต่ใบสำคัญขาดอายุมา ๑๐ ปีเศษ จำเลยจึงเป็นคนต่างด้าวไปตาม พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๔๙๖ จำเลยอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่มีใบสำคัญประจำตัว ขอให้ลงโทษ
จำเลยต่อสู้ว่าได้หย่าขาดจากสามีแล้ว ต่อมาภายหลังกลับมาอยู่ด้วยกันโดยไม่เป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วย ก.ม. จำเลยจึงยังเป็นคนไทยอยู่
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยยังไม่ได้หย่าขาดกับสามีโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยมีความจำนงโดยแจ้งชัดว่าจะสละสัญชาติไทย การที่จำเลยมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวปีหนึ่งแต่แล้วต่อมา พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๔๘๑ ม.๓ บัญญัติว่าหญิงไทยโดยกำเนิดจะไม่ขอรับใบสำคัญประจำตัวก็ได้ จำเลยจึงมีสิทธิไม่ต่อายุใบสำคัญ จำเลยไม่เสียสัญชาติไทย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยไปขอใบสำคัญประจำตัวโดยถูกบังคับและหลงเข้าใจผิด จำเลยไม่ขาดสัญชาติไทย พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาทั้งปัญหาข้อ ก.ม.และข้อเท็จจริง โดยผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีรับรอง
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์นำนายหยุด แสงอุทัย เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้สำเร็จวิชา ก.ม.ไทย และเป็นดอกเตอร์ ก.ม. เยอรมันมาเบิกความว่าพยานได้ไปติดต่อยังกระทรวงการต่างประเทศ ๆ ติดต่อไปยังสถานทูตจีน ๆ ส่งก.ม.จีน ฉบับ ค.ศ.๑๙๒๘ มาให้ ตาม ก.ม.นี้ถ้าหญิงไปแต่งงานกับคนจีน ย่อมมีสัญชาติจีนตามสามีเว้นแต่จะสงวนสัญชาติเดิมไว้ แต่ไม่ปรากฎว่า ก.ม.นี้ยังใช้อยู่หรือยกเลิกแล้ว และตามคำใน+ ของนายหยุดฟังไม่ได้ว่าผู้ชำนาญการพิเศษใน ก.ม.จีน ฉนั้น จึงถือไม่ได้ว่าจำเลย+ จีนตามสามี ตาม พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. ๒๔๕๖ ม.๔ คงมีสัญชาติไทยอยู่ และการที่จำเลยได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวนั้นเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้รับมาโดยสมัครใจ จึงไม่ขาดสัญชาติไทย (อ้างฎีกาที่ ๑๔๕๒/๒๔๙๘) ศาลฎีกาพิพากษายืน