คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1672/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาให้จะมีข้อความว่า ผู้ให้ยินยอมให้ผู้รับรื้อถอนเรือนได้ในเมื่อไปอยู่ที่อื่นก็ดี แต่ถ้าคู่สัญญามิได้เจตนาจะให้มีการรื้อเรือนไปในเวลาใกล้ชิดกับวันที่ทำสัญญายกให้แล้ว เรือนนั้นหากลายสภาพเป็นสังหาริมทรัพย์ไม่ แต่ยังคงมีสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์ดังเดิม ฉะนั้นเมื่อการยกให้ทำแต่เพียงเป็นหนังสือ มิได้จดทะเบียน จึงไม่สมบูรณ์ และตกเป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือยกเรือนให้โจทก์ 1 หลังเมื่อโจทก์จะไปอยู่ที่อื่น ก็ให้รื้อถอนไปได้ และจำเลยมอบเรือนให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันยกให้ตลอดมา ต่อมาโจทก์จะรื้อเรือนไปอยู่ที่อื่น จำเลยขัดขวาง ขอให้พิพากษาว่าเรือนเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การว่า การยกอสังหาริมทรัพย์ให้โจทก์โดยไม่ได้จดทะเบียนตกเป็นโมฆะ และโจทก์ครอบครองเรือนพิพาทไม่ถึง 10 ปีไม่มีอำนาจรื้อถอน

ศาลชั้นต้นเห็นว่า การให้ไม่สมบูรณ์เพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ไม่มีสิทธิรื้อเรือนพิพาทของจำเลยพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2501 จำเลยซึ่งเป็นพ่อผัวของโจทก์ได้ทำหนังสือสัญญายกเรือน 1 หลังให้โจทก์ซึ่งเป็นบุตรสะใภ้ เมื่อทำสัญญายกเรือนให้แล้ว โจทก์จำเลยและนายถมสามีโจทก์ซึ่งเป็นบุตรจำเลยก็ได้อยู่ในเรือนพิพาทด้วยกันมาจนกระทั่งนายถมตาย ซึ่งตรงกับที่ 4 ธันวาคม 2502 เห็นว่าแม้ในสัญญายกให้ที่จำเลยทำให้ไว้แก่โจทก์จะมีความว่า จำเลยยินยอมให้โจทก์รื้อถอนเรือนพิพาทได้ในเมื่อไปอยู่ที่อื่นก็ดี แต่ข้อเท็จจริงก็ได้ความอยู่แล้วว่า โจทก์กับสามีได้อยู่ที่เรือนหลังนี้ร่วมกับจำเลยตลอดมาเป็นเวลาปีเศษ จึงเห็นได้ชัดว่าคู่สัญญามิได้เจตนาจะให้มีการรื้อเรือนไปในเวลาใกล้ชิดกับวันที่ทำสัญญายกให้เมื่อเช่นนี้ เรือนพิพาทจึงยังหากลายสภาพเป็นสังหาริมทรัพย์ไม่และยังคงมีสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์อยู่ดังเดิม

เมื่อเรือนพิพาทยังเป็นอสังหาริมทรัพย์ การยกให้แม้จะมีหนังสือสัญญาแต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบที่กฎหมายบังคับ การยกให้นั้นก็ไม่สมบูรณ์ ดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ในมาตรา 525 ประกอบด้วยมาตรา 456 ฉะนั้น จึงต้องถือว่าสัญญาให้ของจำเลยในคดีนี้เป็นโมฆะตามมาตรา 115

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share