แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 แกล้งทำเป็นถูกผีเข้าสิงเดินเข้าไปหาผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายตกใจวิ่งหนี จำเลยที่ 1 วิ่งไล่ตามบีบคอกดตัวผู้เสียหายลงกับพื้น จำเลยที่ 2 มิได้เข้าร่วมกับจำเลยที่ 1 ในเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งขณะจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ก็นั่งอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 10 วา เมื่อจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเสร็จแล้ว จำเลยที่ 2 จึงเข้ามาลากผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราที่ข้างกอไผ่ห่างจากจุดที่จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายพอสมควร โดยจำเลยที่ 1 มิได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสองยังไม่เข้าลักษณะเป็นการโทรมหญิง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๘๓ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๘๓ และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๓ จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑๕ ปี จำเลยที่ ๒ อายุ ๑๔ ปี ไม่ต้องรับโทษ แต่เห็นสมควรให้ส่งตัวจำเลยที่ ๒ ไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดระยอง จนกว่าจำเลยที่ ๒ จะมีอายุครบ ๑๘ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรแรก จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๘ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของโจทก์ที่ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสอง จะเป็นความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือไม่นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีได้ความจากคำผู้เสียหายว่าในการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยที่ ๑ ได้แกล้วทำเป็นถูกผีเข้าสิง จำเลยที่ ๒ ก็มิได้แกล้งแสดงอาการดังกล่าวด้วย และเมื่อจำเลยที่ ๑ ทำเป็นถูกผีเข้าสิงเดินเข้ามาหาผู้เสียหายทำท่าจะบีบคอจนผู้เสียหายตกใจกลัววิ่งหนี จำเลยที่ ๑ ได้วิ่งไล่ตามทันและใช้มือทั้งสองบีบคอกดตัวผู้เสียหายล้มหงายลงกับพื้นแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ได้เข้าร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในเหตุการณ์ดังกล่าวในตอนหนึ่งตอนใดเลยกลับได้ความจากคำผู้เสียหายว่าขณะจำเลยที่ ๑ ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายนั้น จำเลยที่ ๒ ยังคงนั่งอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ ๑๐ วา ต่อมาเมื่อจำเลยที่ ๑ ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเสร็จแล้วจำเลยที่ ๒ จึงเข้ามาลากผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราที่ข้างกอไผ่ ซึ่งตามแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.๒ เห็นได้ว่าอยู่ห่างจากจุดที่จำเลยที่ ๑ ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายพอสมควร ในตอนที่จำเลยที่ ๒ ลากตัวผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราที่ข้างกอไผ่ จำเลยที่ ๑ ก็มิได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแต่อย่างใด พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรค ๒ คงมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคแรกดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน