แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้แบ่งทรัพย์มรดกแก่ทายาทคนละครึ่งหากแบ่งไม่ตกลงให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วน นั้น ย่อมหมายความว่า มรดกทุกชิ้นนั้นถ้าเป็นทรัพย์แบ่งได้ ก็ให้เอามาแบ่งกันคนละครึ่งเป็นชิ้นๆไป ถ้าตกลงในการแบ่งเช่นนี้ไม่ได้ ก็ให้ประมูลระหว่างกัน หรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกัน หากทายาททั้งสองตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกันนอกศาลเป็นอย่างอื่น ก็ถือว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะเป็นการยอมผ่อนผันให้แก่กันเพื่อระงับข้อพิพาท
ผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาลโดยมิได้ ขออนุญาตศาลก่อน หาได้ไม่
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองนางสาวมยุรี อิศรเสนา ตามคำสั่งศาล ในขณะที่นางบุญชูเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองนางสาวมยุรี ได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยนี้ ขอแบ่งมรดกหม่อมหลวงยิ่งศักดิ์ อิศรเสนา ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งมรดกตามบัญชีท้ายฟ้องให้แก่นางสาวมยุรีครึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ตกลง ให้ประมูลราคาระหว่างโจทก์จำเลยหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน ปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาที่ 649/2500 ต่อมานางบุญชูในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมกับนางศรีอุทัยจำเลยได้ทำความตกลงกันแบ่งทรัพย์มรดกหม่อมหลวงยิ่งศักดิ์โดยลำพังนอกศาล ปรากฏตามบันทึกเรื่องแบ่งทรัพย์ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2500 โดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันด้วยประสงค์จะระงับข้อพิพาทที่จะมีต่อกันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ซึ่งนางบุญชู จะกระทำโดยลำพังมิได้ต้องขออนุญาตจากศาลก่อนตามมาตรา 1546(4) แต่นางบุญชูหาได้ขออนุญาตจากศาลไม่ ตามบันทึกข้อตกลงมิได้แบ่งครึ่งตามคำพิพากษาทรัพย์ที่นางศรีอุทัยจำเลยได้ไปมีราคาสูง แต่เวลาแบ่งคิดราคาต่ำส่วนทรัพย์ที่นางสาวมยุรีรับไปไม่ค่อยมีราคา แต่ตั้งราคาไว้สูงเป็นการเสียเปรียบ ซึ่งนางสาวมยุรีก็ได้คัดค้านอยู่ตลอดมา จึงขอให้ศาลมีคำสั่งว่าสัญญาแบ่งทรัพย์ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระทำให้ผู้เยาว์เสียเปรียบ ทั้งได้กระทำฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ผูกพันนางสาวมยุรีผู้เยาว์
จำเลยให้การต่อสู้ว่า การแบ่งได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยสุจริตทั้งสองฝ่ายไม่มีการสมยอมได้เปรียบเสียเปรียบแต่อย่างใด เป็นการแบ่งกันเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจรื้อฟื้นมาว่ากล่าวกันอีก
โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า บันทึกแบ่งทรัพย์และสัญญาประนีประนอมที่ศาลถูกต้อง โจทก์จำเลยจึงตกลงกันกะประเด็นข้อกฎหมาย 2 ข้อ คือ โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ กับบันทึกตกลงแบ่งทรัพย์มีผลผูกพันผู้เยาว์หรือไม่
ศาลแพ่งเห็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง และบันทึกแบ่งทรัพย์เป็นสัญญาประนีประนอม ทำให้นางสาวมยุรีเสียเปรียบ และนางบุญชูจะกระทำมิได้เว้นแต่ศาลอนุญาต จึงพิพากษาว่าบันทึกแบ่งทรัพย์ไม่มีผลบังคับและผูกพันนางสาวมยุรีผู้เยาว์แต่อย่างใด
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า บันทึกแบ่งทรัพย์ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความเพราะไม่มีข้อความตรงไหนเลยที่ได้กล่าวว่าเป็นการระงับข้อพิพาท
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏ เมื่อศาลได้พิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งแดงที่ 1311/2498 ให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกของหม่อมหลวงยิ่งศักดิ์บิดาเด็กหญิงมยุรี ให้แก่เด็กหญิงมยุรีครึ่งหนึ่งนั้น เด็กย่อมมีกรรมสิทธิ์รวม คือ เป็นเจ้าของรวมตามกฎหมายในทรัพย์มรดกทุกชิ้นนั้น คำพิพากษาที่ว่าให้จำเลยแบ่งให้ครึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ตกลง ก็ให้ประมูลในระหว่างโจทก์จำเลยรื้อขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วนนั้น ย่อมหมายความว่า ในมรดกทุกชิ้นหรือที่ดินทุกแปลงนั้น ถ้าเป็นทรัพย์แบ่งได้ ก็ให้เอามาแบ่งกันคนละครึ่งเป็นชิ้น ๆ ไป ถ้าตกลงในการแบ่งเช่นว่านี้ไม่ได้ก็ให้ประมูลระหว่างกัน หรือเอาออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันด้วยเหตุนี้ การที่จำเลยกับนางบุญชูไม่ทำเช่นนั้น กลับทำบันทึกการแบ่งทรัพย์กันนอกศาลแบ่งกันเป็นอย่างอื่น จึงไม่เป็นการแบ่งทรัพย์ให้เป็นไปตามคำพิพากษา การตกลงกันเช่นนี้ จึงเป็นนิติกรรมที่ยอมผ่อนผันให้แก่กันเพื่อระงับข้อพิพาทที่กำลังมีอยู่ในการที่จะแบ่งทรัพย์แต่ละชิ้นนั้นออกเป็นคนละครึ่ง และทั้งระงับข้อพิพาทที่จะมีขึ้นในภายหน้า เป็นนิติกรรมประนีประนอมยอมความโดยแท้เมื่อนางบุญชูผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยนอกศาล โดยมิได้ขออนุญาตต่อศาลก่อน ดังที่บทบัญญัติ มาตรา 1546 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับไว้เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินของเด็ก การกระทำของนางบุญชูจึงเป็นการใช้ไม่ได้ทั้งนางสาวมยุรีผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ได้กระทำการคัดค้านอยู่ตลอดมาจำเลยจึงจะอ้างว่าไม่รู้เท่าถึงการณ์ หรืออ้างว่าไม่รู้กฎหมายว่าต้องขออนุญาตศาลก่อนหาได้ไม่
พิพากษายืน