แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ขายฝิ่นได้ขายมูลฝิ่นให้แก่ผู้มีชื่อไปขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ฝิ่น ม.59 ครั้นจำเลยให้การแล้ว โจทก์จึงยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องเป็นว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ขายฝิ่นในร้ายฝิ่นซึ่งได้รับอนุญาตแล้วได้ขายมูลฝิ่นไปดั่งคำฟ้องเดิมกับขออ้าง ม.53 เป็นบทลงโทษเพิ่มขึ้นอีกบทหนึ่งด้วยดังนี้ ไม่เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแก้ฐานความผิดใหม่อันจะทำให้จำเลยเสียเปรียบในเชิงคดี ศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ได้ (หมายเหตุ จำเลยจะมีผิดตามที่โจทก์ขอแก้ฟ้องหรือไม่ศาลฎีกาไม่ได้พิจารณาถึงเพราะไม่เป็นการสมควรที่จะพิจารณาเป็นครั้งแรกในศาลสูงในปัญหาซึ่งเขายังไม่ได้ว่ากล่าวกัน)
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องบรรยายข้อความว่าจำเลยเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ขายฝิ่น ได้บังอาจขายมูลฝิ่นให้ผู้อื่นให้ผู้อื่น ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ฝิ่น พ.ศ.๒๔๗๒ ม.๕๙ ครั้นจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้การแก้ฟ้องเปลี่ยนเป็นว่าจำเลยเป็นคนขายฝิ่นในร้านฝิ่นซึ่งได้รับอนุญาต กับขออ้าง ม.๕๓ เป็นบทลงโทษเพิ่มเติมด้วย
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพะยานโจทก์เสียและตัดสินยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าแม้โจทก์จะสืบสมว่าจำเลยได้ขายมูลฝิ่นให้ผู้อื่นไปจริง ก็ลงโทษไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงในฟ้องต่างกับที่ปรากฎตามทางพิจารณา
ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ว่ามูลความผิดตามฟ้องเดิมกับที่ขอแก้ใหม่นั้นก็มีมูลมา+กรรมอันเดียวกัน คือการขายมูลฝิ่นนั้นเองอนึ่งตาม ม.๕๙ ที่อ้างมาในฟ้องเดิมก็บัญญัติให้ลงโทษตาม ม.๕๓ ซึ่งโจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องนั่นเอง จึงไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีเลย จึงพิพากษาให้ศาลชั้นต้นจัดการสืบพะยานโจทก์ต่อไปตามฟ้องที่โจทก์ขอแก้ไขใหม่นั้น