คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์มีทุนทั้งหมดหรือทุนเกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐ แต่องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ซึ่งเรียกโดยย่อว่า “ร.ส.พ.” ก็จัดขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ.2496 ซึ่งมาตรา 9 แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวบัญญัติว่า “ให้กำหนดทุนของ ร.ส.พ.เป็นจำนวนเงินห้าสิบล้านบาทโดยรัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิมสิบล้านบาทและจ่ายเพิ่มเติมเป็นคราว ๆ ตามจำนวนที่รัฐบาลเห็นสมควร” และทางราชการได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จึงเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์มีทุนห้าสิบล้านบาทโดยทุนทั้งหมดเป็นของรัฐ ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว
จำเลยเป็นพนักงานประเภทประจำขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์อันเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายในตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาล มีหน้าที่ช่วยงานในการถ่ายภาพเอ๊กซเรย์ฯ รับเงินค่าเอ๊กซเรย์และออกใบเสร็จรับเงินด้วย จำเลยจึงเป็นพนักงานตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 3 เมื่อจำเลยได้รับเงินค่าเอ๊กซเรย์จากผู้ที่มาเอ๊กซเรย์รายละ 35 บาทแล้ว จำเลยก็เขียนจำนวนเงินและวันเดือนปีที่รับเงินในใบเสร็จรับเงินท่อนแรกที่เป็นต้นฉบับและมอบให้แก่ผู้ชำระเงินไปตามความจริง ภายหลังจำเลยจึงเขียนใบเสร็จรับเงินท่อนที่สองและท่อนที่สามที่เป็นสำเนา โดยเขียนจำนวนเงินน้อยลงกว่าที่ได้รับและเขียนวันเดือนปีที่ได้รับไม่ตรงความจริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินอันเป็นเอกสารสิทธิ ต่อมาจำเลยใช้สำเนาใบเสร็จรับเงินที่จำเลยปลอมขึ้นไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์เพื่อแสดงว่าจำเลยได้รับเงินค่าเอ๊กซเรย์ไว้เท่าจำนวนที่ปรากฏในสำเนาใบเสร็จรับเงินปลอม จึงเป็นการใช้เอกสารสิทธิปลอมและยักยอกเบียดบังเงินค่าเอ๊กซเรย์ส่วนที่เหลือจากนำส่งเจ้าหน้าที่องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานประเภทประจำขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) อันเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย เป็นผู้ช่วยพยาบาลแผนกสวัสดิการมีหน้าที่ช่วยงานในการถ่ายภาพเอ๊กซเรย์ฯ เก็บเงินกับออกใบเสร็จรับเงินค่าเอ๊กซเรย์ เมื่อระหว่างวันที่ ๑๔ กรกฏาคม ๒๕๑๒ เวลากลางวันถึงวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๔ เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยได้รับเงินค่าเอ๊กซเรย์จากพนักงานเข้าใหม่และออกใบเสร็จรับเงินให้ไว้รายละ ๓๕ บาท จำนวน ๒๙๔ ราย เป็นเงิน ๑๐,๒๙๐ บาท แล้วบังอาจปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินค่าเอ๊กซเรย์อันเป็นเอกสารสิทธิจำนวน ๒๙๔ ราย โดยเขียนวันเดือนปีขึ้นใหม่ และเขียนในช่องจำนวนเงินว่า ๒๕ บาทบ้าง ๑๐ บาทบ้าง แล้วนำใบเสร็จรับเงินปลอมและจำนวนเงินเท่าที่จำเลยปลอมขึ้นส่งต่อเจ้าหน้าที่ อันเป็นความเท็จและทุจริตต่อหน้าที่ เงินที่เหลือนอกนั้นจำเลยยักยอกเอาไปเสีย การกระทำของจำเลยน่าจะเกิดความเสียหายแก่องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ และจำเลยกระทำเพื่อให้องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์และเจ้าหน้าที่หลงเชื่อว่าเป็นสำเนาใบเสร็จรับเงินที่แท้จริง
ต่อมาจำเลยบังอาจใช้สำเนาใบเสร็จรับเงินค่าเอ๊กซเรย์ปลอม รวม ๒๙๔ รายที่จำเลยปลอมขึ้นอ้างแสดงต่อเจ้าหน้าที่ขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์พร้อมกับจำนวนเงินค่าเอ๊กซเรย์ตามที่ลงในสำเนาใบเสร็จรับเงินปลอมเพื่อแสดงว่าจำเลยได้รับเงินค่าเอ๊กซเรย์ไว้เท่าจำนวนที่ปรากฏในสำเนาใบเสร็จรับเงินปลอมในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ กับจำเลยบังอาจยักยอกเบียดบังเงินค่าเอ๊กซเรย์ที่รับไว้จากพนักงานเข้าใหม่ส่วนที่เหลือจากนำส่งเจ้าหน้าที่องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ตามสำเนาใบเสร็จรับเงินค่าเอ๊กซเรย์ที่จำเลยทำปลอมขึ้นจำนวน ๖,๒๗๕ บาท ไปเป็นประโยชน์ของจำเลยโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลทุ่งพญาไท อำเภอพญาไท กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๘, ๓๕๒, ๓๕๓ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๔, ๘, ๑๐
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอม แต่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์และฐานเป็นพนักงานมีหน้าที่จัดการทรัพย์เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยทุจริต ความฐานยักยอกทรัพย์ เป็นความผิดอันยอมความได้และองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ไม่ติดใจดำเนินคดีกับจำเลยจึงพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๔ ให้จำคุก ๕ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๓ ปี ๔ เดือน ข้อหานอกนี้ให้ยก
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายเพราะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์มีทุนทั้งหมดหรือทุนเกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐนั้น ปรากฏว่าองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ซึ่งเรียกโดยย่อว่า “ร.ส.พ.” จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ.๒๔๙๖ และมาตรา ๙ แห่งพระราชฎีกาดังกล่าวบัญญัติว่า “ให้กำหนดทุนของ ร.ส.พ. เป็นจำนวนเงินห้าสิบบาทโดยรัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิมสิบล้านบาท และจ่ายเพิ่มเติมเป็นคราว ๆ ตามจำนวนที่รัฐบาลเห็นสมควร” และทางราชการได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จึงเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่าองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์มีทุนห้าสิบล้านบาทโดยทุนทั้งหมดเป็นของรัฐ ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์มีทุนทั้งหมดหรือทุนเกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐ ฟ้องโจทก์ก็สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว
อนึ่ง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นพนักงานประเภทประจำขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์อันเป็นนิติบุคคลตามกฏหมายในตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาล มีหน้าที่ช่วยงานในการถ่ายภาพเอ๊กซเรย์ฯ รับเงินค่าเอ๊กซเรย์และออกใบเสร็จรับเงินด้วย จำเลยเป็นผู้ปฏิบัติงานในองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ซึ่งเป็นพนักงานตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๓ เมื่อจำเลยได้รับเงินค่าเอ๊กซเรย์จากผู้ที่มาเอ๊กซเรย์รายละ ๓๕ บาทแล้ว จำเลยก็เขียนจำนวนเงินและวันเดือนปีที่รับเงินใบเสร็จรับเงินท่อนแรกที่เป็นต้นฉบับและมอบให้แก่ผู้ชำระเงินไปตามความจริง ภายหลังจำเลยจึงเขียนรับเงินท่อนที่สองและท่อนที่สามที่เป็นสำเนา โดยเขียนจำนวนเงินน้อยลงกว่าที่ได้รับและเขียนวันเดือนปีที่ได้รับเงินไม่ตรงความจริง การที่จำเลยเขียนใบเสร็จรับเงินท่อนที่สองและท่อนที่สามไม่ตรงกับใบเสร็จรับเงินท่อนแรกที่เป็นต้นฉบับทั้งจำนวนเงินและวันเดือนปีที่ได้รับเงิน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินอันเป็นเอกสารสิทธิ ต่อมาจำเลยใช้สำเนาใบเสร็จรับเงินที่จำเลยปลอมขึ้นไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์พร้อมด้วยจำนวนเงินตามที่ลงในสำเนาใบเสร็จรับเงินปลอม เพื่อแสดงว่าจำเลยได้รับเงินค่าเอ๊กซเรย์ไว้เท่าจำนวนที่ปรากฏในสำเนาใบเสร็จรับเงินปลอม จึงเป็นการใช้เอกสารสิทธิปลอม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕ และ ๒๖๘ แต่ให้ลงโทษตาม มาตรา ๒๖๘
การที่จำเลยปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินท่อนที่สองและท่อนที่สามโดยเขียนจำนวนเงินน้อยกว่าในใบเสร็จรับเงินท่อนแรกที่เป็นต้นฉบับ แล้วนำใบเสร็จรับเงินท่อนที่สองที่จำเลยทำปลอมขึ้นไปอ้างต่อเจ้าหน้าที่ขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์พร้อมกับเงินค่าเอ๊กซเรย์ตามจำนวนที่ระบุในใบเสร็จรับเงินท่อนที่สองที่จำเลยทำปลอมขึ้น ก็เพื่อยักยอกเบียดบังเงินค่าเอ๊กซเรย์ส่วนที่เหลือจากนำส่งเจ้าหน้าที่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวกัน แต่ผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ ประกอบด้วยมาตรา ๒๖๕ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๔ แต่ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองคืการหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๔ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ส่วนกำหนดโทษและการลดโทษที่ลงแก่จำเลยให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share