คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยการได้รับมรดก ถือได้ว่าเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม เมื่อโจทก์ยังมิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งมรดกทรัพย์พิพาทตามส่วนของตนย่อมไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอก ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายทวีกับนางรัตนา นายทวีกับนางรัตนามีสินสมรสคือที่ดินโฉนดเลขที่ 4754, 4755 และ 4756 พร้อมตึกแถวเลขที่ 35,37 และ 39 ซึ่งปลูกบนที่ดินดังกล่าว แต่ให้นางรัตนามารดาโจทก์ใส่ชื่อไว้เพียงผู้เดียว ต่อมาบิดาโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสองและนางรัตนาครอบครองทรัพย์ตลอดมา เมื่อเดือนเมษายน2529 โจทก์ทั้งสองทราบว่าที่ดินและตึกแถวดังกล่าวได้จดทะเบียนจำนองไว้กับจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับมอบอำนาจโดยโจทก์ทั้งสองและนางรัตนาไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วย จำเลยทั้งสองทราบดีว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิในทรัพย์ดังกล่าว ขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับนางรัตนา
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ทรัพย์สินที่จำเลยจำนองเป็นของนางรัตนาแต่ผู้เดียว โจทก์ทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาตามกฎหมายใช้ยันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ได้ทรัพย์สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนจำนองโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองทรัพย์พิพาทได้หรือไม่ เห็นว่าการที่โจทก์ทั้งสองได้เข้ามาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์พิพาทนั้นเกิดขึ้นจากการถึงแก่กรรมของนายทวี ไพบูลย์สาธิต บิดาของตนซึ่งถือได้ว่า เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ดังนั้นเมื่อโจทก์ทั้งสองยังมิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งมรดกทรัพย์พิพาทตามส่วนของตนย่อมไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 วรรคสอง จึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 1 ได้รับจำนองทรัพย์พิพาทไว้โดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริตและได้จดทะเบียนจำนองโดยสุจริตหรือไม่ จำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 6 ที่บัญญัติว่า “ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต” โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวว่าจำเลยที่ 1 ไม่สุจริตอย่างไร แต่โจทก์ทั้งสองไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ผู้รับจำนองไม่สุจริตอย่างไร แต่กลับได้ความจากทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ว่า นางรัตนามารดาโจทก์กู้เงินไปจากจำเลยที่ 1 หลายครั้งและเมื่อคิดหักทอนบัญชีกันครั้งสุดท้ายแล้วยังเป็นลูกหนี้จำเลยที่ 1 อยู่ 2,400,000 บาทจึงได้นำทรัพย์พิพาทซึ่งมีชื่อนางรัตนาถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวไปจำนองค้ำประกันหนี้ดังกล่าว และศาลฎีกาได้พิพากษาให้นางรัตนาชำระหนี้นั้นหากไม่ชำระให้บังคับเอาจากทรัพย์สินที่จำนองไว้ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1ได้รับจำนองทรัพย์พิพาทไว้โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนจำนองโดยสุจริต โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองทรัพย์พิพาท ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1รับจำนองทรัพย์พิพาทโดยไม่สุจริตนั้นฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share