คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝากที่ดิน แล้วจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินนั้นในวันเดียวกัน ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดไถ่คืนแล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าที่ดิน. จำเลยต่อสู้ว่า ความจริงเป็นเรื่องกู้เงินโดยเอาที่ดินเป็นประกันส่วนการเช่าที่ดินนั้นเป็นการเลี่ยงกฎหมาย เผื่อถ้าจำเลยไถ่ที่ดินคืนจะได้คิดแทนดอกเบี้ยซึ่งเกินกว่าอัตราในกฎหมายคดีนี้จำเลยไม่ได้ไถ่ที่ดินคืน และจำเลยไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่เช่าที่ดินที่เช่าเป็นที่ว่างเปล่าไม่ควรมีค่าเช่าถึงอัตราที่กำหนดเป็นค่าเช่ากันไว้เช่นนี้ เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าสัญญาเช่าไม่สมบูรณ์ เพราะมิได้มีเจตนาที่จะให้ผูกพันด้วยการเช่ากันจริงๆ จำเลยมีสิทธิที่จะนำพยานมาสืบได้

ย่อยาว

จำเลยต่อสู้ว่า มิได้เช่าที่ดินรายพิพาท หนังสือสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมอำพราง ความจริงจำเลย เงินโจทก์โดยเอาที่พิพาทเป็นประกันโจทก์ให้จำเลยทำเป็นสัญญาขายฝากกับโจทก์ โจทก์กำหนดว่าถ้าจำเลยไม่ไถ่ถอนคืนจะคิดค่าไถ่เป็นดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ 2.50 บาทต่อเดือน โจทก์ประสงค์จะหลีกเลี่ยงการเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ตามกฎหมาย จึงให้จำเลยทำเป็นสัญญาเช่าที่ดินไว้ ที่พิพาทเป็นที่ว่างเปล่า จำเลยไม่เคยเข้าไปใช้หาประโยชน์ ทั้งอัตราค่าเช่าที่ทำไว้นั้นไม่มีผู้ใดเช่ากันเพราะไม่มีผลประโยชน์เลย จำเลยไม่ต้องรับผิดในสินไถ่ซึ่งกำหนดไว้เป็นอัตราดอกเบี้ยและทำเป็นสัญญาเช่านั้น และตัดฟ้องว่าสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมอำพราง มีวัตถุประสงค์ฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นโมฆะ

ในวันนัดพิจารณา คู่ความรับกันว่าจำเลยทำสัญญาเช่าไว้จริงโจทก์ซื้อฝากที่พิพาทไว้จากจำเลยจริง สัญญาทั้งสองนี้ทำในวันเดียวกัน จำเลยค้างค่าเช่าอยู่จริง โจทก์รับว่าที่พิพาทเป็นที่ว่างคงโต้เถียงกันแต่ว่าจำเลยว่าค่าเช่านั้นคือค่าดอกเบี้ยอัตราร้อยละสองครึ่งของต้นเงิน 55,000 บาท ส่วนโจทก์ว่าสัญญาเช่ามิใช่นิติกรรมอำพราง

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า สัญญาตามเอกสาร จ.1ไม่ใช่สัญญากู้เงินแต่เป็นสัญญาเช่าที่ดิน อัตราค่าเช่าไม่มีกฎหมายห้ามไว้ การที่โจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝากกันเป็นเรื่องตกลงทำนิติกรรมกันใหม่ ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเช่าที่ค้าง 19,250 บาท แก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์โดยที่ประชุมใหญ่ลงมติว่า ตามคำฟ้องคำให้การและพฤติการณ์ข้อเท็จจริงที่รับกันมาแล้ว ข้อเถียงของจำเลยว่าสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมอำพรางดอกเบี้ยเงินกู้เป็นโมฆะนั้น ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาขายฝากและสัญญาเช่าทำวันเดียวกันฝ่ายจำเลยเถียงว่า ความจริงจำเลยกู้เงินโจทก์โดยเอาที่รายพิพาทเป็นประกัน แต่โจทก์ให้ทำเป็นสัญญาขายฝาก โดยโจทก์กำหนดว่าถ้าจะไถ่คืนจะคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสองครึ่งต่อเดือนจึงให้จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินไว้ การที่จำเลยเถียงเช่นนี้เท่ากับเถียงว่าสัญญาเช่าที่ดินไม่สมบูรณ์ เพราะคู่สัญญามิได้มีเจตนาที่จะให้ผูกพันกันตามสัญญา จำเลยมีสิทธินำพยานมาสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย จึงให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่

Share