คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1649/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ผู้เสียหายจะได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาไว้สำนวนหนึ่งแล้วก็ไม่มีกฎหมายจำกัดอำนาจของพนักงานอัยการมิให้ฟ้องจำเลยนั้นในเรื่องเดียวกันเป็นคดีใหม่อีกสำนวนหนึ่ง

ย่อยาว

คดีทั้ง ๔ สำนวนนี้ ศาลล่างทั้งสองได้พิจารณาพิพากษารวมกันโดยเรียกพนักงานอัยการจังหวัดนครราชสีมาเป็นโจทก์ นายเซี่ยมฮวดโจทก์ในสำนวนที่ ๓ ว่าโจทก์ที่ ๑ และนายอ่องโจทก์ในสำนวนที่ ๔ ว่า โจทก์ที่ ๒ โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องมีข้อความทำนองเดียวกันว่า จำเลยบังอาจร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินของนายสุทัศน์ ลิ้มพงศานุรักษ์ซึ่งมอบให้โจทก์ที่ ๑ ครอบครองดูแลรักษา และบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ที่ ๒ ซึ่งโจทก์ที่ ๒ ครอบครองอยู่และร่วมกันใช้ไม้กระดานตีปิดกั้นประตูบ้านของโจทก์ที่ ๑ และประตูบ้านของโจทก์ที่ ๒ เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕
จำเลยทุกสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า ข้อเท็จจริงยังไม่พอจะชี้ขาดว่าเขตที่ดินระหว่างโจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๑ อยู่ตรงไหนแน่ แต่เชื่อว่าจำเลยที่ ๑, ๓, ๔ ได้ปิดกั้นประตูบ้านของโจทก์ที่ ๑ และของโจทก์ที่ ๒ จริงทำให้โจทก์ทั้งสองเข้าออกไม่ได้ ถือว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ทั้งสองโดยปกติสุข พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑, ๓, ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๔ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ ๑ หนึ่งพันบาท ปรับจำเลยที่ ๓ กับจำเลยที่ ๔คนละห้าร้อยบาท ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษตามมาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงปรับจำเลยที่ ๑ ห้าร้อยบาทปรับจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ คนละสองร้อยห้าสิบบาทสำหรับจำเลยที่ ๒โจทก์นำสืบไม่ถึงว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วย พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑, ๓, ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑, ๓, ๔ ฎีกา
ปัญหาที่ขึ้นสู่ศาลฎีกามีเฉพาะแต่ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ว่า (๑) เมื่อผู้เสียหาย (คือโจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒)ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ด้วยตนเองแล้ว โจทก์ (พนักงานอัยการ) ไม่มีอำนาจดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๑ ซ้ำอีกและ (๒) การที่ผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ ๑เพียงคนเดียว ถือได้ว่าผู้เสียหายไม่ประสงค์ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับจำเลยอื่น โจทก์ (พนักงานอัยการ) จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาข้อแรก เห็นว่า ไม่มีกฎหมายจำกัดอำนาจของพนักงานอัยการมิให้ฟ้องคดีอาญาที่ผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องไว้แล้ว ตรงกันข้ามข้อความในมาตรา ๓๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ได้บัญญัติถึงการพิจารณาคดีซึ่งทั้งพนักงานอัยการและผู้เสียหายต่างยื่นฟ้องคดีอาญาเรื่องเดียวกันแสดงว่า ผู้เสียหายและพนักงานอัยการต่างยื่นฟ้องคดีอาญาเรื่องเดียวกันได้ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้ จึงไม่เป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ ฯลฯส่วนในปัญหาข้อหลังปรากฏว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่คนว่าร่วมกันบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ ซึ่งมิใช่ความผิดต่อส่วนตัวหรือเป็นความผิดที่ยอมความกันได้ พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจทำการสอบสวนได้โดยไม่ต้องมีคำร้องทุกข์ของผู้เสียหาย ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๑ ฉะนั้นการที่ผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ ๑ แต่เพียงผู้เดียวจะถือว่าผู้เสียหายไม่ประสงค์จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับจำเลยอื่น ดังฎีกาของจำเลยได้หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ตัดอำนาจของพนักงานอัยการที่ฟ้องจำเลยเหล่านั้น
พิพากษายืน

Share