คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1646/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การรับว่าเป็นผู้ออกเช็คพิพาทและมิได้ปฏิเสธความเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบของโจทก์ เพียงแต่ให้การว่าเช็คดังกล่าวเกิดจากการเล่นแชร์ และมีข้อตกลงกันเป็นพิเศษให้ใช้ได้เฉพาะผู้ที่เล่นแชร์ ด้วยกัน แต่หัวหน้าวงแชร์ กลับนำเช็คพิพาทไปชำระหนี้ส่วนตัวข้อตกลงดังกล่าวหากมีจริงก็ผูกพันเฉพาะ หัวหน้าวงแชร์ กับจำเลยเท่านั้น หามีผลถึงโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ คำให้การเช่นนี้จะถือว่าเป็นคำให้การต่อสู้ว่าหัวหน้าวงแชร์ กับโจทก์ฉ้อฉลจำเลยไม่ได้ จึงไม่มีประเด็นให้นำสืบ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท ซึ่งจำเลยสั่งจ่ายและมอบแก่ผู้มีชื่อ ต่อมาผู้มีชื่อมอบเช็คดังกล่าวชำระหนี้แก่โจทก์ครั้นเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินแล้ว แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 42,750 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 40,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้หัวหน้าวงแชร์เมื่อจำเลยประมูลได้ แต่หัวหน้าวงแชร์เก็บเงินจากลูกวงแล้วไม่นำมามอบให้จำเลย กลับนำเช็คของจำเลยไปชำระหนี้ส่วนตัว เช็คพิพาทไม่ได้ลงเดือนปีและไม่มีมูลหนี้ต่อกัน โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยสืบพยานก่อน
ถึงวันนัดสืบพยานจำเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำให้การจำเลยไม่มีข้อต่อสู้ ไม่จำเป็นต้องสืบพยาน ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เมื่อจำเลยให้การรับแล้วว่าเป็นผู้ออกเช็คพิพาท จำเลยย่อมต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900, 914 ประกอบด้วยมาตรา 989ทั้งจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธความเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบของโจทก์ตามฟ้อง คำใหการของจำเลยที่ว่าเช็คพิพาทเกิดจากการเล่นแชร์มีข้อตกลงกันเป็นพิเศษให้ใช้ได้เฉพาะผู้ที่เล่นแชร์ด้วยกันเท่านั้นโดยจำเลยออกเช็คพิพาทให้หัวหน้าวงแชร์เมื่อจำเลยประมูลแชร์ได้เพื่อให้หัวหน้าแชร์ไปเก็บเงินจากลูกวงแชร์มาให้จำเลย แต่หัวหน้าวงแชร์กลับนำเช็คพิพาทไปชำระหนี้ส่วนตัว ไม่นำเงินมาชำระจำเลย นั้นเป็นเพียงข้อตกลงที่หากมีจริงก็ผูกพันกันในระหว่างหัวหน้าวงแชร์กับจำเลยเท่านั้น หามีผลถึงบุคคลภายนอกเช่นโจทก์ในคดีนี้ไม่ ทั้งจะถือว่าเป็นคำให้การที่ต่อสู้ว่าหัวหน้าวงแชร์กับโจทก์ฉ้อฉลจำเลยดั่งจำเลยฎีกาก็ไม่ได้ เพราะคำให้การนี้แสดงถึงพฤติการณ์ของหัวหน้าวงแชร์ฝ่ายเดียว มิได้ปรากฏพฤติการณ์ของโจทก์ร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยแต่อย่างใด คำให้การของจำเลยส่วนนี้จึงไม่มีประเด็นให้นำสืบ ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานเสียนั้น ชอบแล้วเมื่อคำให้การของจำเลยไม่มีข้อต่อสู้ มีแต่คำรับดังวินิจฉัยไว้แต่ต้น จำเลยก็ต้องรับผิดตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนกันมา นั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share