คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1646/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายเมาสุราโมโหคนในรถที่จำเลยกับพวกที่นั่งมากดแตรเพื่อไม่ให้ผู้ตายกระแทกข้างรถ พอพวกของจำเลยคนหนึ่งเดินมาที่รถผู้ตายก็เข้าไปต่อว่าแล้วเกิดเป็นปากเสียงกันขึ้น เมื่อจำเลยเข้าไปจะดึงพวกของจำเลยขึ้นรถ ผู้ตายยกมือขึ้นทำท่าจะชกต่อยจำเลยจำเลยจึงชกต่อยผู้ตายไป 1 ที ถูกผู้ตายล้มศีรษะฟาดพื้นถนนถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา เพราะสมองได้รับความกระเทือนดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการละเมิดต่อกฎหมายที่ใกล้จะถึงพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2512 เวลากลางคืน จำเลยได้ใช้กำลังกายชกต่อยนายร่วม แกล้วกล้า ถูกบริเวณหน้า 1 ที นายร่วมล้มหงายศีรษะฟาดพื้นถนนถึงสลบและต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2512 นายร่วมถึงแก่ความตายเพราะเหตุที่สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง เหตุเกิดที่ตำบลเทพกษัตรีย์ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 บวกโทษที่รอการลงโทษเข้ากับคดีนี้ด้วยตามมาตรา 58

จำเลยให้การว่า ได้ต่อยผู้ตายไป 1 ทีโดยป้องกันตัว

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยชกผู้ตายถึงแก่ความตายและไม่ใช่ป้องกัน มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290จำคุก 3 ปี เอาโทษจำคุก 15 วันที่รอการลงโทษไว้มารวมด้วยเป็นจำคุก3 ปี 15 วัน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยต่อยผู้ตายเพื่อป้องกันตัว จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ในคืนเกิดเหตุจำเลยได้ชกผู้ตายไป 1 ที ผู้ตายล้มลงสลบและสมองได้รับความกระเทือนจึงถึงแก่ความตายเพราะเนื่องจากถูกจำเลยชก คงมีปัญหาว่าจำเลยได้กระทำไปเพื่อป้องกันตัวหรือไม่ ปรากฏว่าจำเลยกับผู้ตายและพวกต่างไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และทั้งได้ความจากพยานโจทก์ว่า ทั้งผู้ตายและนายวันต่างกินสุรามึนเมาอยู่ โดยเฉพาะผู้ตายนั้น นายสมบัติพยานโจทก์ว่ายืนตัวเซกระแทกข้างรถ อาจเป็นเพราะเหตุนี้เองคนในรถจึงกดแตรเพื่อไม่ให้มากระแทกข้าง ๆ รถ ศาลฎีกาเชื่อว่าเหตุที่กดแตรนี้เองที่เป็นชนวนให้ผู้ตายซึ่งเมาสุราอยู่บ้างแล้วเกิดโมโหพอดีนายปรีชาซึ่งเคยรู้จักกันกับผู้ตายเดินมาที่รถกับพวก ผู้ตายเข้าไปพูดต่อว่าแล้วเป็นปากเสียงกันขึ้นนายปรีชาจะขึ้นรถ ผู้ตายก็ดึงไว้ พอดีจำเลยเข้ามาจะดึงนายปรีชาขึ้นรถ ตอนนี้เองนายสมบัติพยานโจทก์เบิกความว่า ผู้ตายยกมือจะชกจำเลย จำเลยจึงชกผู้ตายไป ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ตายเมาและโกรธอยู่ ส่วนพวกนายปรีชาและจำเลยไม่ปรากฏว่าเมา และพยานโจทก์ก็เบิกความดังกล่าวมาแล้วจึงน่าเชื่อว่าผู้ตายคงทำท่าจะชกจำเลยก่อน จำเลยจึงชกผู้ตายไปเพียง 1 ทีเท่านั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ทั้งจำเลยก็ชกไปเพียง 1 ที เท่านั้น เป็นการพอสมควรแก่เหตุแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share