คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1644/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้จำเลยทั้งสี่ฟ้องแย้งในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 302 ว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกของ ท. ซึ่งตกทอดแก่จำเลยที่ 1 และ ส. ผู้วายชนม์ ปัจจุบันโจทก์และจำเลยทั้งสี่ครอบครองที่ดินดังกล่าวร่วมกัน ขอให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของ ส. แบ่งปันที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวน 1 ใน 2 ส่วน หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ดังนี้ จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 4 มิได้มีสิทธิทางแพ่งโต้แย้งกับโจทก์แต่อย่างใด จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งในส่วนนี้ การที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่าฟ้องแย้งในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมต้องรับไว้พิจารณาพิพากษา และศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในปัญหาดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ และถือว่าเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
แม้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของ ส. ผู้วายชนม์จะฟ้องเรียกที่ดินที่โจทก์อ้างว่าเป็นมรดกของ ส. คืนจากจำเลยทั้งสี่เพื่อนำมาแบ่งปันกันในระหว่างทายาทของ ส. จำนวน 2 แปลง โดยมิได้ฟ้องเรียกที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 302 มาด้วยก็ตาม แต่ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่เรียกที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 302 จากโจทก์จำนวน 1 ใน 2 ส่วน ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับการแบ่งปันทรัพย์มรดกของ ส. เช่นเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้จึงเกี่ยวกับฟ้องเดิมและเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางสุภาพ ศรีมงคล มารดา ตามคำสั่งศาล นางสุภาพมีทรัพย์มรดกเป็นที่ดิน 2 แปลง คือ ที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 315 ตำบลนาอ้อ อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย และที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 305 หมู่ที่ 11 ตำบลนาอ้อ อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเกศและนางทอมตามคำสั่งศาลได้แจ้งความเท็จว่า น.ส.3 เลขที่ 315 สูญหายแล้วดำเนินการขอออกใบแทน และจดทะเบียนแบ่งปันโอนที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 315 แก่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกของนายเกศ และจำเลยที่ 1 ได้ยื่นเรื่องราวขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 305 โดยอ้างว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ยื่นเรื่องราวขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.1 ดังกล่าวเช่นกัน เจ้าพนักงานที่ดินจึงยังไม่ได้ออกโฉนดที่ดิน ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นทรัพย์มรดกของนางสุภาพ ห้ามจำเลยทั้งสี่เข้าเกี่ยวข้อง เพิกถอนนิติกรรมจดทะเบียนผู้จัดการมรดกและนิติกรรมรับโอนมรดกของจำเลยทั้งสี่ออกจากรายการจดทะเบียน ใน น.ส.3 เลขที่ 315 ให้จำเลยทั้งสี่ส่งมอบใบแทน น.ส.3 (ฉบับผู้ถือ) เลขที่ 315 แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ไปดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน และให้พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 305 ห้ามจำเลยที่ 1 เข้าเกี่ยวข้องหรือขัดขวางการออกโฉนดตาม ส.ค.1 เลขที่ 305 ของโจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยทั้งสี่และนางสุภาพ ศรีมงคล เป็นบุตรของนายเกศ โคตรชนะ โดยจำเลยที่ 1 และนางสุภาพเป็นบุตรที่เกิดจากนางทอม โคตรชนะ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นบุตรที่เกิดจากนางละมุล โคตรชนะ ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตามฟ้องเป็นทรัพย์มรดกของนางเกศและนางทอม นางเกศและนางทอมไม่เคยยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่นางสุภาพ ส่วนที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 302 ตำบลนาอ้อ อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย เป็นทรัพย์มรดกของนางทอมโดยนางทอมได้มาภายหลังนายเกศถึงแก่ความตาย จึงตกทอดแก่จำเลยที่ 1 และนางสุภาพ ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้โจทก์กับทายาทโดยธรรมของนางสุภาพและบริวารออกจากที่ดินพิพาท น.ส.3 เลขที่ 315 มิให้เกี่ยวข้องต่อไป ให้โจทก์แบ่งปันที่ดินพิพาท ส.ค.1 เลขที่ 305 ให้แก่จำเลยทั้งสี่คนละ 1 ใน 5 ส่วน หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ และให้โจทก์แบ่งปันที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 302 ให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวน 1 ใน 2 ส่วน หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งจำเลยทั้งสี่ แต่ต่อมาในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 302
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยทั้งสี่ฟ้องแย้งในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 302 ว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกของนางทอม โคตรชนะ ซึ่งตกทอดแก่จำเลยที่ 1 และนางสุภาพ ศรีมงคล ผู้วายชนม์ ปัจจุบันโจทก์และจำเลยทั้งสี่ครอบครองที่ดินดังกล่าวร่วมกัน ขอให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของนางสุภาพแบ่งปันที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวน 1 ใน 2 ส่วน หากไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ดังนี้ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มิได้มีสิทธิทางแพ่งโต้แย้งกับโจทก์แต่อย่างใด จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งในส่วนนี้ การที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า ฟ้องแย้งในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมต้องรับไว้พิจารณาพิพากษา และศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในปัญหาดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ และถือว่าเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 302 เป็นฟ้องแย้งที่ต้องรับไว้พิจารณาพิพากษาเพราะเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของนางสุภาพผู้วายชนม์จะฟ้องเรียกที่ดินที่โจทก์อ้างว่าเป็นมรดกของนางสุภาพคืนจากจำเลยทั้งสี่เพื่อนำมาแบ่งปันกันในระหว่างทายาทของนางสุภาพ จำนวน 2 แปลง โดยมิได้ฟ้องเรียกที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 302 มาด้วยก็ตาม แต่ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่เรียกที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 302 จากโจทก์จำนวน 1 ใน 2 ส่วน ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับการแบ่งปันทรัพย์มรดกของนางสุภาพเช่นเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้จึงเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมและเกี่ยวข้องกับพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องรับไว้พิจารณาพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น”
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 302 ไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

Share