คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1641/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดความรับผิดต่อมาจำเลยที่ 2 บอกเลิกสัญญาค้ำประกัน บริษัทโจทก์ว่ายังตรวจทรัพย์สินและทำงบดุลยังไม่เสร็จ จะถอนไม่ได้นั้น จำเลยที่ 2 บอกเลิกการค้ำประกันได้โดยไม่ต้องรับผิดในหนี้ภายหลังบอกเลิก ส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 2 บอกเลิกสัญญา จำเลยที่ 2 ก็ยังต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่ ฉะนั้น เมื่อโจทก์เรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน ชำระหนี้นั้นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทโจทก์มีสาขาดำเนินการค้าที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์ สาขาเบตง แล้ว ถูกสั่งให้ออกจากตำแหน่ง ระหว่างอยู่ในตำแหน่ง จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้บริษัทโจทก์แต่ใช้ให้บ้างแล้ว คงค้างอยู่เป็นเงิน ๓๒,๘๐๖.๑๕ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ โดยไม่จำกัดจำนวน โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์เป็นเงิน ๓๒,๘๐๖.๑๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้โจทก์เป็นเงิน ๓๒,๘๐๖.๑๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง เพราะจำเลยที่ ๑ ก่อหนี้ผูกพันตนเองขึ้นหลังจากจำเลยที่ ๒ แจ้งบอกเลิกการค้ำประกันแล้ว
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ ๑ จะบอกเลิกสัญญาค้ำประกันเพื่อให้พ้นความรับผิดต่อกิจการซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันบอกเลิกสัญญาค้ำประกันหาได้ไม่ พิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์ ๓๒,๘๐๖.๑๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งในยอดเงินที่ค้างนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จ
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์ สาขาเบตง โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ โดยไม่จำกัดความรับผิด ก่อนจำเลยที่ ๑ ถูกสั่งออกจากตำแหน่งราว ๑๕ วัน จำเลยที่ ๒ ขอบอกเลิกสัญญาค้ำประกัน บริษัทโจทก์แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบว่าจะยังบอกเลิกสัญญาค้ำประกันได้ โดยไม่ต้องรับผิดในหนี้ภายหลังบอกเลิก ส่วนหนี้เก่าก่อนที่จำเลยที่ ๑ ออกจากหน้าที่ จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ เพราะอยู่ในระยะเวลาที่ยังค้ำประกันอยู่ การทำงบดุล เสร็จภายหลังการบอกเลิกการค้ำประกันไม่สำคัญ หนี้ตามงบดุลมีค้างอยู่ ๓๒,๘๐๖.๑๕ บาทนั้น ปรากฏว่าเป็นหนี้เก่าซึ่งจำเลยที่ ๑ ก่อหนี้ไว้ ไม่ใช่หนี้ภายหลังบอกเลิกสัญญาค้ำประกัน เมื่อบริษัทโจทก์เรียกร้องจากจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ บริษัทโจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ตามสัญญาได้ จำเลยที่ ๒ ก็ต้องร่วมรับผิดต่อบริษัทโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ ได้
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยที่ ๒ เสีย

Share