คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 164/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าจำเลยให้การว่าหลังจากโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วจำเลยได้ตั้งตัวแทนไปตกลงกับโจทก์ โจทก์ตกลงจะให้ค่าขนย้ายแก่จำเลย 10,000 บาท และยินยอมให้จำเลยอยู่ในที่เช่าอีก 4 เดือนนับแต่วันทำสัญญา โดยได้ทำบันทึกลงชื่อกันไว้แล้วนัดไปทำสัญญากันที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 16 มกราคม 2517 แต่โจทก์บิดพลิ้วไม่ไปทำสัญญาตามกำหนดนัด ดังนี้ หากเป็นความจริงก็แสดงว่าโจทก์จำเลยเจตนาจะให้สัญญาประนีประนอมยอมความเกิดขึ้นเมื่อได้ทำสัญญาแล้ว เมื่อสัญญายังมิได้ทำขึ้นย่อมถือไม่ได้ว่ามีสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 366 วรรคสอง จำเลยจึงหามีสิทธิอยู่ในที่เช่าต่อไปอีกไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อตกลงซึ่งทำเป็นบันทึกลงชื่อโจทก์และตัวแทนจำเลยเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งผูกพันโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจนกว่าจะปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและให้สืบพยานต่อไป แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการขอให้สืบพยานต่อไปในเรื่องค่าขนย้ายอันเป็นประเด็นตามฟ้องแย้ง ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งไม่รับและยุติไปแล้วจึงอุทธรณ์ไม่ได้ ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในเรื่องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งจำเลยอาจอุทธรณ์ได้ศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีกก็ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินพิพาทจากเจ้าของเดิม ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วจำเลยคงอยู่ต่อไปอันเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา โจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวมาและไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าอยู่ต่อไป จึงขอให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า โจทก์ตกลงจะให้ค่าขนย้ายแก่จำเลยและให้อยู่ต่ออีก4 เดือน อันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยทำเป็นบันทึกซึ่งโจทก์และตัวแทนจำเลยลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฟ้องแย้งให้โจทก์ให้ค่าขนย้ายตามข้อตกลง

ศาลชั้นต้นรับคำให้การแต่ไม่รับฟ้องแย้ง และให้งดสืบพยานพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อตกลงซึ่งทำเป็นบันทึกเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สืบพยานต่อไป

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยขอให้สืบพยานต่อไปในเรื่องค่าขนย้าย อันเป็นประเด็นตามฟ้องแย้งของจำเลย ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว จำเลยจะอุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวไม่ได้ พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยให้การต่อสู้ไว้ว่าโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลย โดยจะให้ค่าขนย้ายแก่จำเลยและยอมให้จำเลยอยู่ในที่ดินต่ออีก 4 เดือน ดังนั้น แม้จำเลยจะไม่อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยในเรื่องค่าขนย้าย คดีก็ยังมีประเด็นตามคำให้การของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ซึ่งจำเลยอาจอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นดังกล่าวได้ หาใช่เป็นการอุทธรณ์ในประเด็นเรื่องค่าขนย้ายตามฟ้องแย้งของจำเลยดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าควรให้สืบพยานต่อไปหรือยกฟ้องของโจทก์เสียเพราะโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยตามบันทึกลงวันที่14 มกราคม 2517 นั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก เห็นว่าแม้บันทึกดังกล่าวจะมีอยู่จริง แต่ก็ปรากฏตามคำให้การของจำเลยเองว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์ต่ออีก 4 เดือนนับแต่วันทำสัญญาและโจทก์จำเลยตกลงจะไปทำสัญญากันในวันที่ 16 มกราคม 2517 แสดงว่าโจทก์จำเลยเจตนาจะให้สัญญาประนีประนอมยอมความ เกิดขึ้นเมื่อได้ทำสัญญานั้นแล้ว เมื่อสัญญาดังกล่าวมิได้ทำขึ้นจึงถือไม่ได้ว่ามีสัญญาต่อกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 366 วรรคสอง ข้อต่อสู้ของจำเลยว่ามีสัญญาประนีประนอมยอมความตามหลักฐานเป็นหนังสือในบันทึกลงวันที่ 14 มกราคม2517 จึงเป็นอันตกไป ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งงดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยรื้อบ้านออกไป จากที่ดินของโจทก์และชดใช้ค่าเสียหายได้ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share