คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1634/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ และดำเนินการเพื่อจะขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองในคดีแพ่งที่ถึงที่สุดแล้วนั้น เป็นกรณีปฏิบัติไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาโดยชอบ ซึ่งเป็นการบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง ส่วนคดีอาญาที่จำเลยทั้งสองฟ้องโจทก์นั้น เป็นเรื่องที่จะบังคับเกี่ยวกับตัวโจทก์ เป็นกรณีคนละเรื่องกัน ผลของคำพิพากษาในคดีอาญาไม่อาจลบล้างคำพิพากษาในคดีแพ่งได้ จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะงดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๔๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ หากไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทนคดีถึงที่สุด จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองระหว่างศาลชั้นต้นประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึด จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญา หากจำเลยทั้งสองสามารถพิสูจน์ในคดีอาญานั้นได้ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ทางแพ่งเกิดจากการปลอมแปลงเอกสาร จำเลยทั้งสองจะชนะคดี ขอให้งดการขาดทอดตลาดไว้เป็นการชั่วคราวก่อนจนกว่าศาลจะได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีอาญา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าคดีแพ่งถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์ฎีกา การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์และดำเนินการเพื่อจะขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาโดยชอบ เป็นการบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง ส่วนคดีอาญาที่จำเลยทั้งสองฟ้องโจทก์นั้น เป็นเรื่องที่จะบังคับเกี่ยวกับตัวโจทก์ เป็นกรณีคนละเรื่องกัน แม้ว่าจำเลยทั้งสองจะชนะคดีอาญาดังอ้างมาในฎีกา ผลของคำพิพากษาในคดีอาญาก็ไม่อาจลบล้างคำพิพากษาในคดีนี้ได้ ทั้งไม่มีเหตุสมควรที่จะงดการขายทอดตลาดไว้ตามคำร้องของจำเลยทั้งสอง ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share