คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1629/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ยังพอมีฐานะ มิได้ยากจนจริง ยกคำร้องโจทก์มิได้อุทธรณ์ การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลอนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจนโดยอ้างว่าโจทก์มีฐานะยากจนลงกว่าเดิมเนื่องจากไม่อาจขอความช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมศาลจากบุตรคนโตได้ และโจทก์มีภาระเพิ่มมากขึ้นจากการเลี้ยงดูบุตร ซึ่งพยานหลักฐานที่จะนำมาแสดงเพิ่มเติมเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่ยังไม่ได้นำมาสืบและข้อเท็จจริงบางส่วนเพิ่งปรากฏขึ้นภายหลังนั้น เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะนำพยานหลักฐานมานำสืบหักล้างข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบไว้เดิม ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดและเป็นยุติแล้ว จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ ไม่ได้บังคับว่าเมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตให้ผู้ร้องนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจนศาลจะต้องอนุญาตและทำการไต่สวน จึงเป็นดุลพินิจของศาลที่จะสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้แล้วแต่พฤติการณ์แห่งคดี ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีตามคำร้องของโจทก์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลได้ก็ชอบที่จะยกคำร้องของโจทก์เสียได้โดยไม่จำต้องมีคำสั่งรับคำร้องของโจทก์ไว้ดำเนินการไต่สวนก่อน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกถอนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงและหรือการประกาศแจกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงและการรังวัดแนวเขตทำเลเลี้ยงสัตว์ ป่าหนองพลวง หนองโกดดง หนองโดนสุด หมู่ที่ 1 และ 7 ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ที่จำเลยที่ 1 ได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2544 ให้จำเลยที่ 1 ทำการรังวัดทำเลเลี้ยงสัตว์ ป่าหนองพลวง หนองโกดดง หนองโดนสุด หมู่ที่ 1 และที่ 7 ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ตามประกาศแนวเขตที่ดินของอำเภอเมืองสุรินทร์ ฉบับลงวันที่ 5 มกราคม 2467 และตามหนังสือของผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ถึงนายอำเภอเมืองสุรินทร์ ที่ 1235 (1259)/2483 ลงวันที่ 10 มกราคม 2467 ให้ถูกต้องเพื่อแสดงแนวเขตที่ดินดังกล่าวกับแนวเขตที่ดินโจทก์โดยให้จำเลยทั้งห้าร่วมกับโจทก์นำชี้การรังวัดสอบเขต หากจำเลยทั้งห้าไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งห้า และห้ามจำเลยทั้งห้าเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์และขัดขวางหรือโต้แย้งการใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยทั้งห้าให้การในทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน การรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าวเป็นไปโดยถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องและคำให้การแล้วเห็นว่า เป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งห้าเป็นคดีปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ในราคาประเมิน 825,000 บาท ภายในกำหนด 20 วัน
โจทก์ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว เห็นว่า โจทก์มิได้ยากจนจริงและยังพอมีเงินเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ ให้ยกคำร้องของโจทก์ หากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน 15 วัน
โจทก์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547 ขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ เพื่อให้โจทก์แสดงหลักฐานเพิ่มเติมว่าโจทก์เป็นคนยากจน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า มีเหตุสมควรที่จะไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่เพื่อให้โจทก์แสดงหลักฐานเพิ่มเติมว่าโจทก์เป็นคนยากจนตามคำร้องฉบับลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547 หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ยังพอมีฐานะ มิได้ยากจนจริงและยังพอมีเงินเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ แล้วยกคำร้องของโจทก์ โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงย่อมฟังเป็นยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลอนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจนโดยอ้างว่า โจทก์มีฐานะยากจนลงกว่าเดิมเนื่องจากไม่อาจขอความช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมศาลจากบุตรคนโตได้ และโจทก์มีภาระเพิ่มมากขึ้นจากการเลี้ยงดูบุตร ซึ่งพยานหลักฐานที่จะนำมาแสดงเพิ่มเติมเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่ยังไม่ได้นำมาสืบและข้อเท็จจริงบางส่วนเพิ่งปรากฏขึ้นภายหลังนั้น เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะนำพยานหลักฐานมานำสืบหักล้างข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบไว้เดิมซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดและเป็นยุติแล้วจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบตามคำร้องขอได้ โจทก์ฎีกาประการต่อมาว่าศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์โดยไม่ได้ดำเนินการไต่สวนก่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ ไม่ได้บังคับว่าเมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตให้ผู้ร้องนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจนดังกล่าวศาลจะต้องอนุญาตและทำการไต่สวน จึงเป็นดุลพินิจของศาลที่จะสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้แล้วแต่พฤติการณ์แห่งคดี ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีตามคำร้องของโจทก์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลได้ก็ชอบที่จะยกคำร้องของโจทก์เสียได้โดยไม่จำต้องมีคำสั่งรับคำร้องของโจทก์ไว้ดำเนินการไต่สวนก่อน ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน หากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 15 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษา อนึ่งการฎีกาคำสั่งกรณีนี้ไม่จำต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา จึงให้คืนเงินค่าคำร้องฎีกาคำสั่ง 40 บาท แก่โจทก์.

Share