แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินซึ่งโจทก์ได้มาตามพินัยกรรมของนางสาว ก. เป็นของโจทก์ทั้งหมด ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะคดีโจทก์ขาดอายุความเรียกร้องมรดกตามพินัยกรรมของนางสาว ก. โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้จัดการจำหน่ายที่ดินดังกล่าวแล้วนำเงินแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่งตามพินัยกรรมของนาง ร. การที่โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยครั้งหลัง จึงเป็นการฟ้องเรียกที่ดินโดยอ้างสิทธิตามพินัยกรรมของนาง ร. ซึ่งเป็นพินัยกรรมอีกฉบับหนึ่ง มีข้อความแตกต่างกัน เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์ตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกต่างคนกัน จึงมิใช่อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2511)
ย่อยาว
คดีนี้ตามฟ้องโจทก์เท่าที่เกี่ยวกับประเด็นเรื่องฟ้องซ้ำมีว่านางรวย (เจ้ามรดก) ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ นางรวยได้ทำพินัยกรรมให้โจทก์ที่ ๑ และจำเลยเป็นผู้รับมรดก และตั้งให้โจทก์ที่ ๒กับจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน พินัยกรรมกำหนดให้จัดการจำหน่ายทรัพย์สมบัติอย่างอื่น (รวมทั้งโฉนดเลขที่ ๑๑๐๙ และ ๒๐๖๖) เป็นเงินสดแล้วหักใช้ค่าทำศพตามสมควร เหลือเท่าใดให้แบ่งออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน ส่วนหนึ่งให้แก่โจทก์ที่ ๑ อีกส่วนหนึ่งให้แก่จำเลย โจทก์ที่ ๑ กับจำเลยได้เข้าถือกรรมสิทธิ์ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๑๑๐๙ และ ๒๐๖๖ ร่วมกันตลอดมา โดยโจทก์จำเลยตกลงให้ฝ่ายโจทก์เป็นผู้เก็บรักษาโฉนดที่ดินดังกล่าวไว้ ในปีพ.ศ. ๒๕๐๗ โจทก์เพิ่งมาทราบว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ จำเลยกับสามีได้ร่วมกันยื่นเรื่องราวเท็จต่อพนักงานที่ดินว่าโฉนดทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าวสูญหายไปขอให้พนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดและจดทะเบียนที่ดินทั้ง ๒ แปลงให้จำเลย เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงออกใบแทนโฉนดและจดทะเบียนการรับมรดกที่ดิน ๒ แปลงนี้ให้จำเลยแต่ผู้เดียว การกระทำของจำเลยเป็นการทุจริต จงใจยักย้ายปิดบังทรัพย์มรดกมากกว่าส่วนที่ตนควรจะได้โดยการฉ้อฉล โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยมาประชุมหลายครั้งเพื่อจัดการจำหน่ายทรัพย์สินตามข้อกำหนดพินัยกรรมแต่จำเลยก็เฉย และได้แจ้งให้จำเลยยื่นคำร้องขอเพิกถอนใบแทนโฉนดพร้อมกับเพิกถอนนิติกรรมจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดิน ๒ แปลงนั้นแต่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติ จึงขอให้ศาลสั่งทำลายใบแทนโฉนดที่ดิน ๑๑๐๙และ ๒๐๖๖ สั่งเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดิน๒ แปลงนี้ สั่งกำจัดจำเลยมิให้ได้รับมรดกที่ดินทั้ง ๒ แปลงส่วนที่จำเลยจะได้รับตามพินัยกรรม ให้จำเลยร่วมกับโจทก์จัดการจำหน่ายที่ดินดังกล่าวแล้วนำเงินแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ถ้าตกลงในการจัดการจำหน่ายไม่ได้ ก็ให้ขายทอดตลาดนำเงินแบ่งกัน ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินโฉนดที่ ๑๑๐๙ และ ๒๐๖๖ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามพินัยกรรมของนางสาวกฤษณ์ กรศิริ และขอให้ถอนชื่อนางรวยออกจากโฉนด ๒ แปลงนี้เสียแต่ศาลฎีกาได้พิพากษาว่าโจทก์ไม่เรียกร้องภายในอายุความมรดกจึงหมดสิทธิเรียกร้อง การที่โจทก์มาฟ้องเป็นคดีนี้อีกเป็นฟ้องซ้ำและขาดอายุความ จำเลยเป็นผู้ครอบครองถือกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวมาฝ่ายเดียว ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไปขอรับใบแทนโฉนดที่ ๑๑๐๙และ ๒๐๖๖ ให้พนักงานที่ดินใส่ชื่อจำเลยในโฉนดเป็นผู้รับมรดกของนางรวยนั้น โจทก์ไม่เสียหาย เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดิน ๒ แปลงนี้แล้ว โดยจำเลยไปขอโอนโฉนดภายหลังที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีก่อน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับโฉนดที่ ๑๑๐๙และ ๒๐๖๖ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีความเห็นแย้งว่า ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ ๑๑๐๙ และ ๒๐๖๖เป็นฟ้องซ้ำ ควรพิพากษายกฟ้องโจทก์เฉพาะคำขอที่เกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว ๒ แปลงเสีย
จำเลยฎีกาว่าเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมที่ดินโฉนดที่ ๑๑๐๙ และ ๒๐๖๖เป็นของนางสาวกฤษณ์บุตรสาวนางรวย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ นางสาวกฤษณ์ทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ที่ ๑ ผู้เดียว แต่ให้นางลำดวนซึ่งเป็นยายและนางรวยซึ่งเป็นมารดามีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิต นางสาวกฤษณ์ถึงแก่กรรมประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๙ แต่โจทก์มิได้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของนางสาวกฤษณ์ จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๗๕ นางรวยจึงจัดการใส่ชื่อของนางรวยเองในโฉนดทั้งสอง แล้วต่อมานางรวยทำพินัยกรรมยกที่ดินทั้งสองโฉนดนี้ให้โจทก์ที่ ๑ กับจำเลยฝ่ายละครึ่ง โจทก์ถือว่าที่ดินสองแปลงนี้ควรตกเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวตามพินัยกรรมของนางสาวกฤษณ์แต่จำเลยขอให้แบ่งครึ่งระหว่างโจทก์จำเลยตามพินัยกรรมของนางรวยโจทก์ที่ ๑ ในคดีนี้จึงได้ยื่นฟ้องจำเลยเรียกที่ดินทั้ง ๒ โฉนดดังกล่าวตามพินัยกรรมของนางสาวกฤษณ์ ซึ่งในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี เพราะคดีโจทก์ขาดอายุความเรียกร้องมรดกของนางสาวกฤษณ์ตามพินัยกรรม ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๑๖/๒๕๐๓ หลังจากศาลฎีกาพิพากษาคดีดังกล่าวแล้วจำเลยไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าโฉนดที่ ๑๑๐๙ และ ๒๐๖๖ หายไป จำเลยเป็นผู้รับมรดกที่ไม่มีพินัยกรรมขอให้เจ้าพนักงานออกโฉนดให้ใหม่ เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกใบแทนโฉนดทั้งสองให้ และโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้รับมรดก โจทก์จึงฟ้องคดีนี้เรียกทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมที่นางรวยทำไว้
ศาลฎีกาพิจารณาฎีกาข้อนี้ในที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า คดีเดิมตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๑๖/๒๕๐๓ โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกที่ดินโฉนดที่๑๑๐๙ และ ๒๐๖๖ โดยอ้างสิทธิตามพินัยกรรมของนางสาวกฤษณ์ จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลฎีกาพิพากษาว่าโจทก์หมดสิทธิในพินัยกรรมของนางสาวกฤษณ์แล้ว แต่ในคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินทั้ง ๒ แปลงดังกล่าวโดยอ้างสิทธิตามพินัยกรรมของนางรวย ซึ่งเป็นพินัยกรรมอีกฉบับหนึ่ง มีข้อความต่างกันเป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์ตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกต่างคนกัน มิใช่อาศัยเหตุอย่างเดียวกันทั้งคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๑๖/๒๕๐๓ ก็มิได้วินิจฉัยว่า โจทก์หมดสิทธิตามพินัยกรรมนางรวยแต่ประการใด คดีโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
พิพากษายืน