คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1621/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา แม้เมื่อโจทก์แสดงว่าหมดพยานแล้ว ศาลก็มีอำนาจสั่งเรียกพยานหลักฐานมาเองเพื่อประกอบการวินิจฉัยทำคำสั่งชั้นไต่สวนมูลฟ้องได้ และคำสั่งที่ให้รอคดีเพื่อฟังพยานหลักฐานเช่นนี้ เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 และถึงแม้ว่าในคำสั่งนั้นศาลจะได้สั่งไว้ด้วยว่าให้จำหน่ายคดีเสียชั่วคราว ถ้าสำนวนคดีที่ศาลสั่งเรียกมาเพื่อประกอบการวินิจฉัยนั้นเสร็จเมื่อใด ก็ให้โจกท์แถลงให้ศาลทราบ เพื่อจะได้ยกคดีที่มีการไต่สวนมูลฟ้องนี้ขึ้นพิจารณาสั่งต่อไป ดังนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นการสั่งจำหน่ายคดีที่ไม่ทำให้ประเด็นแพ่งคดีเสร็จไป โจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนี้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 18/2506)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นจำเลยในคดีอาญาดำที่ ๒๘๖ ก./๒๕๐๓ ของศาลทหารกรุงเทพ (ใช้กฎ ๒๐ ต.ค.๐๑) จำเลยเข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนั้น และได้เบิกความเท็จ และจำเลยได้ทำพยานหลักฐานเท็จ ยื่นต่อนายอำเภอเพื่อให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนเชื่อว่ามีความผิดทางอาญาเกิดขึ้น แล้วจำเลยได้นำสืบหรือแสดง หลักฐานอันเป็นเท็จนั้นต่อศาลทหารกรุงเทพ ฯ ในขณะที่เข้าเบิกความเป็นพยาน ขอให้ลงโทษ
ศาลอาญาได้ไต่สวนมูลฟ้อง คือไต่สวนพยานบุคคลและเรียกพยานเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์อ้างได้มาแล้ว แต่มีบางฉบับยังเรียกไม่ได้ ในการไต่สวนพยานบุคคลวันสุดท้าย โจทก์แถลงว่าหมดพยานโจทก์ชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ครั้นวันนัดฟังคำสั่ง ศาลจดรายงานว่าเห็นว่าจำเป็นจะต้องได้สำนวนความที่โจทก์ถูกฟ้อง และคำเบิกความของจำเลยนี้ในคดีนั้นมาประกอบการพิจารณาทำคำสั่ง จึงขอยืมสำนวนจากกรมพระธรรมนูญกระทรวงกลาโหม เจ้ากรมพระธรรมนูญตอบมาว่ายังไม่อาจจะให้ยืมได้ในขณะนี้จนกว่าคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว ศาลอาญาเห็นว่ายังไม่อาจจะได้สำนวนดังกล่าวมาในเร็ววัน เพื่อไม่ให้คดีต้องล่าช้าอยู่โดยไม่จำเป็น จึงให้จำหน่ายคดีเสียชั่วคราว ถ้าคดีของศาลทหาร ฯ ดังกล่าวเสร็จเด็ดขาดเมื่อใดแล้ว ให้โจทก์ยื่นคำแถลงให้ศาลทราบเพื่อจะได้ยกคดีขึ้นพิจารณาสั่งต่อไป
โจทก์อุทธรณ์ขอให้พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งชี้ขาดมูลฟ้องโดยไม่ต้องรอเอกสารหรือสำนวนความตามที่ศาลชั้นต้นอ้าง เพราะมิใช่เหตุที่จะรอได้ตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นสั่งว่า “ศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว คดียังไม่เสร็จเด็ดขาด จึงเป็นคำสั่งระหว่างการพิจารณา ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์”
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๙๖ ให้ยกคำร้องอุทธรณ์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ในการไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา แม้เมื่อโจทก์แถลงว่าหมดพยานแล้ว ศาลก็มีอำนาจเรียกพยานหลักฐานมาเองเพื่อประกอบการวินิจฉัยทำคำสั่งชั้นไต่สวนมูลฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๒๘ ประกอบด้วย ๑๗๑ และคำสั่งที่ให้รอคดีเพื่อฟังพยานหลักฐานที่เรียกมานั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวนจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๖ อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้าม ส่วนข้อที่ศาลชั้นต้นได้สั่งจำหน่ายคดีไปนั้นก็เป็นคำสั่งจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวไม่ใช่เป็นคำสั่งให้จำหน่ายคดีโดยเด็ดขาด เป็นการสั่งจำหน่ายคดีที่ไม่ทำให้ประเด็นแห่งคดีเสร็จไปโจทก์จึงยังไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งเช่นนี้ได้
พิพากษายืน

Share