คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 74 ให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าพน้าที่ที่จะสอบสวนคู่กรณีในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้ การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดได้สอบสวนโจทก์ ก่อนที่จะดำเนินการจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทให้ จึงเป็นการกระทำชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อปรากฏจากการสอบสวนตามถ้อยคำของโจทก์เองว่า โจทก์มีภริยาเป็นคนสัญชาติจีนซึ่งเป็นคนต่างด้าว อยู่กันกันมาจนมีบุตรถึง 12 คน แล้ว และโจทก์ก็จะซื้อที่พิพาทเพื่อปลูกบ้านอยู่จึงเป็นกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินควรเชื่อได้ว่าโจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าว ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเอก ได้บันทึกเรื่องเสนอกรมที่ดินจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 4 ได้เสนอต่อไปยังกระทรวงมหาดไทยจำเลยที่ 5 เพื่อพิจารณา จึงเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 74 เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อจำเลยที่ 5 โดยรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาและมีคำสั่งไม่อนุมัติให้มีการจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาท คำสั่งเช่นว่านี้จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 74 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ปฏิบัติการดังกล่าวโดยเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ การกระทำตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 5 ที่สั่งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นสามีภริยากัน ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โอนที่พิพาทให้โจทก์ เมื่อถึงวันโอนที่พิพาทตามสัญญาประนีประนอม จำเลยที่ ๒ แกล้งร้องคัดค้านต่อจำเลยที่ ๑ ว่าโจทก์มีภริยาเป็นคนต่างด้าว ไม่ควรรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้ ความจริงโจทก์มิได้จดทะเบียนสมรสกับภริยามา จึงไม่ถือว่าโจทก์มีภริยาเป็นคนต่างด้าว จำเลยที่ ๑ ได้ให้เจ้าหน้าที่บันทึกถ้อยคำของโจทก์โดยไม่ตรงต่อความจริง และทำบันทึกเสนอกรมที่ดินจำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๔ ได้เสนอต่อไปยังกระทรวงมหาดไทยจำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๔ พิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่อนุมัติตามมาตรา ๗๔ วรรค ๒ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โจทก์ซื้อที่พิพาทเพื่อขายต่อ มิได้ซื้อเพื่อคนต่างด้าวหรือซื้อแทนคนต่างด้าว จำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๕ จึงไม่มีอำนาจไม่อนุมัติให้โจทก์ซื้อที่พิพาท การกระทำของจำเลยทั้งหมดเป็นการละเมิดและไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายรวมเป็นเงิน ๓๕๙,๐๐๐ บาท จึงให้ให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ไม่อนุมัติให้โจทก์ซื้อที่พิพาท และสั่งให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๔ รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้โจทก์ และให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ให้การรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์จริง กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งไม่อนุมัติให้โจทก์ซื้อที่พิพาท จำเลยทั้งสองจึงมิใช่ฝ่ายผิดสัญญา
จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๕ ให้การว่าโจทก์และจำเลยที่ ๒ ได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่พิพาท เมื่อจำเลยที่ ๑ สอบสวนปากคำโจทก์ โจทก์ให้การตามคำวามสมัครใจว่าโจทก์มีภริยาที่มิชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าว เชื้อชาติสัญชาติจีน มีบุตรด้วยกัน ๑๒ คน และอยู่กินร่วมกันตลอดมา ฉะนั้น ภริยาโจทก์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินร่วมกับโจทก์รวมทั้งที่พิพาทนี้ด้วย จำเลยทั้งสามจึงเห็นว่า การที่โจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ ๒ เป็นการควรเชื่อได้ว่าโจทก์จะซื้อเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าวหรือภริยาโจทก์ จำเลยที่ ๕ ได้มีคำสั่งไม่อนุมัติให้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการซื้อขายที่พิพาท จำเลยปฏิบัติชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะตามมาตรา ๗๔ วรรค ๒ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน คำสั่งรัฐมนตรีเป็นที่สุด โจทก์จะนำคดีมาฟ้องบังคับได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ไม่อนุมัติให้โจทก์ซื้อที่พิพาท ให้จำเลยที่ ๔ ดำเนินการตามคำขอซื้อที่ดินของโจทก์ต่อไป คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมด
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๗๔ บัญญัติว่า”ในการดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๗๑ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสอบสวนคู่กรณี ฯลฯ ถ้ามีกรณีเป็นที่ควรเชื่อได้ว่าการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้นจะเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายหรือเป็นที่ควรเชื่อได้ว่าบุคคลใดจะซื้อที่ดินเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าว ให้ขอคำสั่งต่อรัฐมนตรี คำสั่งรัฐมนตรีเป็นที่สุด” เมื่อกฎหมายให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่จะสอบสวนคู่กรณีในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้เช่นนี้ การที่นายสมชาย บุญผดุงพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดธนบุรี ได้สอบสวนโจทก์ ก่อนที่จะดำเนินการจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทให้ จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อปรากฏจากการสอบสวนตามถ้อยคำของโจทก์เองว่าโจทก์มีภริยาเป็นคนสัญชาติจีนซึ่งเป็นคนต่างด้าว อยู่กินกันจนมามีบุตร ๑๒ คนแล้ว และโจทก์ก็จะซื้อที่พิพาทเพื่อปลูกสร้างบ้านอยู่ จึงเป็นกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินควรเชื่อได้ว่าโจทก์จะซื้อที่ดินเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าว ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเอก จังหวัดธนบุรีอยู่ในขณะนั้น ได้บันทึกเรื่องเสนอกรมที่ดินจำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๔ ได้เสนอต่อไปยังกระทรวงมหาดไทยจำเลยที่ ๕ เพื่อพิจารณานั้น จึงเป็นการปฏิบัติตามประมวลการหมายที่ดิน มาตรา ๗๔ เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อจำเลยที่ ๕ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาและมีคำสั่งไม่อนุมัติให้มีการจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาท คำสั่งเช่นว่านี้จึงเป็นที่สุดตามมาตรา ๗๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๕ ปฏิบัติการดังกล่าวโดยเจตนากลั่นแกล้งโจทก์แต่อย่างใด ฉะนั้น การกระทำตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๕ จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๕ ที่สั่งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมาดไทย และไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนแต่ประการใด จากจำเลยทั้งสามดังกล่าวนี้ด้วย
พิพากษายืน

Share