แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ไม่มาศาลและไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 200 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยแถลงไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีต่อไป ศาลภาษีอากรกลางต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 202 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 กรณีเช่นนี้แม้ ป.วิ.พ. มาตรา 203 จะมิได้บัญญัติห้ามมิให้โจทก์มีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ แต่การที่โจทก์จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้จะต้องมีการพิจารณาคดีฝ่ายเดียวเป็นสำคัญ คดีนี้เมื่อโจทก์ขาดนัดพิจารณา ศาลภาษีอากรกลางได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสร็จสิ้นไปแล้ว จึงไม่มีการพิจารณาคดีฝ่ายเดียวอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ สิทธิของโจทก์มีอยู่ทางเดียว คือ ต้องฟ้องคดีใหม่ภายในอายุความตามมาตรา 203 เท่านั้น โจทก์ไม่อาจอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีและร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 203 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ สภ 8 พย/4 ถึง 9/2556 และเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ในชั้นพิจารณา ศาลภาษีอากรกลางนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันที่ 27 มกราคม 2557 เวลา 9 นาฬิกา ถึงวันนัดโจทก์ไม่มาศาล ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีผ่านการส่งโทรสารจากศาลจังหวัดเชียงราย ศาลภาษีอากรกลางไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี และถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ทนายจำเลยแถลงขอให้ศาลไม่ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงประการเดียวว่า โจทก์จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีและขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่สามารถมาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้ เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในทางการเมือง มีการปิดถนนจากทางภาคเหนือของกลุ่มชาวนา มีการประกาศปิดกรุงเทพมหานครของกลุ่มมวลชน อันเป็นเหตุสุดวิสัยและเป็นกรณีจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้ ประกอบกับมีการปาระเบิดและลอบยิงกันแทบทุกวัน โจทก์และทนายโจทก์มิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร จึงไม่ทราบข้อเท็จจริงของสถานการณ์ ได้แต่ติดตามข่าวสารก็มีความรู้สึกกลัวอันตราย จึงขอให้มีคำสั่งให้ศาลภาษีอากรกลางหยิบยกคดีนี้ขึ้นพิจารณาใหม่ นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ทนายโจทก์และทนายจำเลยทราบวันนัดโดยชอบแล้ว การที่โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานและไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 200 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยแถลงไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีต่อไป ศาลภาษีอากรกลางต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 กรณีเช่นนี้แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 203 จะมิได้บัญญัติห้ามมิให้โจทก์มีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ก็ตาม แต่การที่โจทก์จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้จะต้องมีการพิจารณาคดีฝ่ายเดียวเป็นสำคัญ คดีนี้เมื่อโจทก์ขาดนัดพิจารณา ศาลภาษีอากรกลางได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสร็จสิ้นไปแล้ว จึงไม่มีการพิจารณาคดีฝ่ายเดียวอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ สิทธิของโจทก์มีอยู่ทางเดียว คือ ต้องฟ้องคดีใหม่ภายในอายุความตามมาตรา 203 เท่านั้น โจทก์ไม่อาจอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีและร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 203 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 แม้ศาลภาษีอากรกลางสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์มา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ ส่วนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์โจทก์เสียมาเพียง 200 บาท จึงไม่คืนให้ ค่าทนายความในชั้นนี้ให้เป็นพับ