คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่2และที่3ฐานเป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้อุบายหลอกลวงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา283แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่2และที่3เป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยหญิงนั้นสมัครใจยินยอมเองอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282ศาลก็มีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยที่2และที่3ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282ได้ เมื่อความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยหญิงนั้นสมัครใจยินยอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282และฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณีเป็นปกติธุระตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีพ.ศ.2503มาตรา8เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทย่อมต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90 การที่จำเลยที่2ยึดถือหนังสือเดินทางและตั๋วโดยสารเครื่องบินของพวกผู้เสียหายไว้เป็นไปโดยความยินยอมของพวกผู้เสียหายตามข้อตกลงแล้วการกระทำของจำเลยที่2และที่3จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา188แม้ความผิดข้อหานี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาแต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่2และที่3ไม่เป็นความผิดแล้วศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185ประกอบด้วยมาตรา215และมาตรา225 จำเลยที่1เพียงขับรถพาหญิงซึ่งสมัครใจค้าประเวณีไปส่งตามที่จำเลยที่2มอบหมายการที่จำเลยที่1รับเงินค่าหญิงบริการจากเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมมาก็ต้องนำไปมอบให้แก่จำเลยที่2เป็นการรับไว้แทนจำเลยที่2การกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนจำเลยที่2ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282และพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีพ.ศ.2503มาตรา8ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา86

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ทั้ง สี่ ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 188, 91, 283, 286, 309, 310, 264, 268 พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการค้า หญิง และ เด็ก หญิง พ.ศ. 2471 มาตรา 4 ริบ สมุดบัญชี จำนวน 4 เล่มเงินสด จำนวน 76,500 บาท ธนบัตร สหรัฐอเมริกา จำนวน 800 เหรียญ ธนบัตร เยอรมัน จำนวน 500 มาร์ก ของกลาง
จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 ให้การ ปฏิเสธ
จำเลย ที่ 3 และ ที่ 4 ให้การ ปฏิเสธ ระหว่าง สืบพยาน จำเลยจำเลย ที่ 3 และ ที่ 4 รับสารภาพ ใน ข้อหา ใช้ หนังสือเดินทาง ปลอมส่วน ข้อหา อื่น ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย ทั้ง สี่ มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 283, 286, 309 วรรคแรก , 310พระราชบัญญัติ ปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 พระราชบัญญัติว่าด้วย การค้า หญิง และ เด็ก หญิง พ.ศ. 2471 มาตรา 4 ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283, 309 วรรคแรก , 310 กับ พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 เป็น กรรมเดียว ผิด กฎหมายหลายบท ให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ซึ่ง เป็นบทหนัก ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ เรียง กระทง ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 11 กระทง จำคุก กระทง ละ 10 ปีรวม จำคุก 110 ปี ฐาน ดำรงชีพ จาก รายได้ ของ หญิง ซึ่ง ค้าประเวณีจำคุก คน ละ 10 ปี ฐาน นำ หรือ ให้ ผู้อื่น นำ หญิง เข้า มา ใน ประเทศ ไทยเพื่อ การ รับจ้าง ให้ เขา ทำ เมถุนกรรม จำคุก คน ละ 5 ปี จำเลย ที่ 2และ ที่ 3 ยัง มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 เรียง กระทงลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 11 กระทง จำคุก กระทง ละ1 ปี รวม จำคุก จำเลย ที่ 2 ที่ 3 ใน ความผิด ฐาน นี้ คน ละ 11 ปี จำเลยที่ 3 และ ที่ 4 ยัง มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกประกอบ มาตรา 264 จำคุก คน ละ 2 ปี ความผิด ฐาน นี้ จำเลย ที่ 3และ ที่ 4 ให้การรับสารภาพ เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา นับ เป็นเหตุบรรเทา โทษ ปรานี ลดโทษ ให้ กึ่งหนึ่ง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78จำคุก คน ละ 1 ปี เมื่อ รวม โทษ ทุกกระทง ความผิด แล้ว คง ให้ จำคุก จำเลยทั้ง สี่ คน ละ 50 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ข้อหา อื่นให้ยก ริบ สมุดบัญชี จำนวน 4 เล่ม เงินสด 72,500 บาท ธนบัตร สหรัฐอเมริกา จำนวน 800 เหรียญ ธนบัตร เยอรมัน จำนวน 500มาร์ก ของกลาง
จำเลย ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า คดี นี้ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน ตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ ลงโทษ จำเลย ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 ใน ความผิด ฐานนำ หญิง เข้า มา ใน ประเทศ ไทย เพื่อ การ รับจ้าง ให้ เขา ทำ เมถุนกรรมตาม พระราชบัญญัติ ว่าด้วย การค้า หญิง และ เด็ก หญิง พ.ศ. 2471มาตรา 4 จำคุก คน ละ 5 ปี และ ลงโทษ จำเลย ที่ 2 ที่ 3 ใน ความผิด ฐานเอาไป ซึ่ง เอกสาร ของ ผู้อื่น ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 จำคุกกระทง ละ 1 ปี รวม 11 กระทง รวม จำคุก คน ละ 11 ปี และ ลงโทษ จำเลยที่ 3 ใน ความผิด ฐาน ใช้ เอกสารปลอม ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268วรรคแรก ประกอบ มาตรา 264 จำคุก 2 ปี ข้อหา นี้ จำเลย ที่ 3 ให้การรับสารภาพ ลดโทษ ให้ กึ่งหนึ่ง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก1 ปี ซึ่ง แต่ละ กระทง ความผิด จำคุก ไม่เกิน กระทง ละ 5 ปี คดี จึงต้องห้าม มิให้ ฎีกา ใน ปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ประมวล กฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลย ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 ฎีกา ขอให้ยกฟ้อง ใน ความผิด ดังกล่าว ว่า พยานโจทก์ ฟัง ไม่ได้ ว่า จำเลย ที่ 1ที่ 2 และ ที่ 3 กระทำผิด อันเป็น ฎีกา ใน ปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ ฎีกา ตาม บท กฎหมาย ดังกล่าว คง มี ปัญหา ตาม ฎีกา จำเลย ที่ 1ที่ 2 และ ที่ 3 ว่า จำเลย ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 มี ความผิด ฐาน เป็นธุระ จัดหา หรือ ชัก พา ไป เพื่อ การ อนาจาร ซึ่ง หญิง โดย ใช้ อุบาย หลอกลวงตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ฐาน ทำให้ เสื่อมเสีย เสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก , 310 กับ ความผิด ฐาน จัดหาผู้กระทำ การค้า ประเวณี เพื่อ ผู้อื่น เป็น ปกติ ธุระ ตาม พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 และ ความผิด ฐาน ดำรงชีพ จากรายได้ ของ หญิง ซึ่ง ค้าประเวณี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 286 ตามที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ลงโทษ มา หรือไม่ ข้อเท็จจริง ฟัง เป็น ยุติเบื้องต้น ได้ว่า ใน ช่วง ระหว่าง วันที่ 14 พฤษภาคม 2532 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2533 ได้ มี ผู้เสียหาย ซึ่ง เป็น หญิง ชาว โคลัมเบีย รวม 16 คน เดินทาง เข้า มา ใน ประเทศ ไทย รวม 11 ครั้ง และ ผู้เสียหายแต่ละ คน ได้รับ จ้าง ค้าประเวณี เพื่อ ผู้อื่น เป็น ปกติ ธุระ จริงแล้ว วินิจฉัย ว่า พยานหลักฐาน โจทก์ ที่ นำสืบ จึง ฟัง ไม่ได้ ว่า จำเลย ที่ 1ที่ 2 และ ที่ 3 ได้ กระทำผิด ฐาน เป็น ธุระ จัดหา หรือ ชัก พา ไป เพื่อ การอนาจาร ซึ่ง หญิง โดย ใช้ อุบาย หลอกลวง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283ฐาน ทำให้ เสื่อมเสีย เสรีภาพ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และ 310ส่วน ข้อหา ความผิด ฐาน ดำรงชีพ จาก รายได้ ของ หญิง ซึ่ง ค้าประเวณีตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 286 นั้น จะ ต้อง ได้ความ ว่า ผู้ นั้นไม่มี ปัจจัย อัน เพียงพอ สำหรับ ดำรงชีพ โจทก์ ไม่ได้ นำสืบ ถึง ความข้อ นี้ เลย จึง ฟัง ไม่ได้ ว่า จำเลย ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 ได้ กระทำผิดฐาน ดำรงชีพ อยู่ จาก รายได้ ของ หญิง ซึ่ง ค้าประเวณี และ เป็นเหตุ ใน ส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกา มีอำนาจ พิพากษา ไป ถึง จำเลย ที่ 4 ที่ มิด้ฎีกาให้ ไม่ต้อง รับโทษ ได้ แล้ว วินิจฉัย ต่อไป ว่า พยานหลักฐาน ของ โจทก์จึง รับฟัง ได้ โดย ปราศจาก ข้อสงสัย ว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ร่วมกันจัดหา ผู้กระทำ การค้า ประเวณี เป็น ปกติ ธุระ อันเป็น ความผิด ตามพระราชบัญญัติ ปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 และ คดี นี้แม้ โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ที่ 2 ที่ 3 ฐาน เป็น ธุระ จัดหา หรือ ชัก พาไป เพื่อ การ อนาจาร ซึ่ง หญิง โดย ใช้ อุบาย หลอกลวง ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 แต่ ทางพิจารณา ฟังได้ ว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 เป็น ธุระจัดหา หรือ ชัก พา ไป เพื่อ การ อนาจาร ซึ่ง หญิง โดย หญิง นั้น สมัครใจยินยอม เอง อันเป็น ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 ศาลก็ มีอำนาจ ที่ จะ ลงโทษ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 282 ได้ ทั้งนี้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 จึง มี ความผิด ฐาน เป็น ธุระ จัดหาหรือ ชัก พา ไป เพื่อ การ อนาจาร ซึ่ง หญิง โดย หญิง นั้น สมัครใจ ยินยอมตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 และ ฐาน จัดหา ผู้กระทำ การค้าประเวณี เป็น ปกติ ธุระ ตาม พระราชบัญญัติ ปรามการค้าประเวณีพ.ศ. 2503 มาตรา 8 ซึ่ง เป็น การกระทำ กรรมเดียว เป็น ความผิดต่อ กฎหมาย หลายบท ต้อง ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282อันเป็น บทที่ มี โทษหนัก ที่สุด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ข้อเท็จจริง ได้ความ ว่า ผู้เสียหาย แต่ละ คน ได้ มอบ หนังสือเดินทางและ ตั๋ว โดยสาร เครื่องบิน ให้ จำเลย ที่ 2 ไป เพื่อ ประโยชน์ ใน การขออนุญาต อยู่ ต่อ ใน ประเทศ ไทย และ ตั๋ว โดยสาร เครื่องบิน นั้นจำเลย ที่ 2 เป็น ฝ่าย ออก เงิน ซื้อ และ พวก ผู้เสียหาย มี ข้อ ผูกพันที่ จะ ต้อง มอบ ให้ จำเลย ที่ 2 ยึดถือ ไว้ จนกว่า จะ สามารถ ใช้ หนี้ หมด ตามข้อตกลง การ ที่ จำเลย ที่ 2 ยึดถือ เอกสาร ดังกล่าว ของ พวก ผู้เสียหายไว้ จึง เป็น ไป โดย ความ ยินยอม ของ พวก ผู้เสียหาย ตาม ที่ ตกลง ดังกล่าวการกระทำ ของ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 จึง ไม่เป็น ความผิด ตาม ประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 188 แม้ ความผิด ข้อหา นี้ ต้องห้าม มิให้ ฎีกา แต่เมื่อการกระทำ ของ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ไม่เป็น ความผิด แล้ว ศาลฎีกาก็ มีอำนาจ พิพากษายก ฟ้องโจทก์ เสีย ได้ ตาม ประมวล กฎหมาย วิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 185 ประกอบ ด้วย มาตรา 215 และ มาตรา 225
คดี สำหรับ จำเลย ที่ 1 ฟัง ข้อเท็จจริง ได้ว่า เป็น เพียงผู้สนับสนุน จำเลย ที่ 2 ใน ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282และ พระราชบัญญัติ ปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 ประกอบ กับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เท่านั้น แม้ ความผิด ข้อหา นี้ ต้องห้ามมิให้ ฎีกา แต่เมื่อ จำเลย ที่ 1 ไม่มี ความผิด ฐาน นี้ ศาลฎีกา ก็ มีอำนาจ พิพากษายก ฟ้องโจทก์ เสีย ได้ เช่นกัน สำหรับ จำเลย ที่ 4พยานหลักฐาน โจทก์ เท่าที่ นำสืบ มา ยัง ไม่พอ ฟัง ว่า จำเลย ที่ 4ได้ ร่วม กับ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ใน การกระทำ ผิด ฐาน นำ หญิง เข้า มา ในประเทศ ไทย เพื่อ การ รับจ้าง ให้ เขา ทำ เมถุนกรรม ตาม พระราชบัญญัติว่าด้วย การค้า หญิง และ เด็ก หญิง พ.ศ. 2471 มาตรา 4 ฐาน จัดหาผู้กระทำ การค้า ประเวณี เป็น ปกติ ธุระ ตาม พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 และ ฐาน เป็น ธุระ จัดหา หรือชัก พา ไป เพื่อ การ อนาจาร ซึ่ง หญิง โดย หญิง นั้น สมัครใจ ยินยอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 ด้วย แม้ จำเลย ที่ 4 จะ มิได้ ฎีกาศาลฎีกา ก็ มีอำนาจ พิพากษา ตลอด ไป ถึง ให้ ไม่ต้อง รับโทษ ได้
อนึ่ง ข้อ นำสืบ ของ จำเลย ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 ซึ่ง นำสืบ รับ กับข้อเท็จจริง ที่ โจทก์ นำสืบ ว่า โดย ฝ่าย จำเลย นำสืบ ปฏิเสธ เพียง ว่าหญิง โคลัมเบีย ที่ เดินทาง เข้า มา ใน ประเทศ ไทย ทำงาน เป็น พนักงาน เอสคอร์ท ของ จำเลย ที่ 2 มิได้ มี อาชีพ ค้าประเวณี แต่อย่างใด เช่นนี้ ข้อ นำสืบ ของ จำเลย ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 นับ ว่า เป็น ประโยชน์แก่ การ พิจารณา ของ ศาล อยู่ บ้าง ซึ่ง ถือ เป็นเหตุ บรรเทา โทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ซึ่ง ศาลฎีกา เห็นสมควร ลดโทษ ให้ โดย ให้ มีผล ไป ถึง ความผิด ของ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ใน ข้อหา ความผิด ตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วย การค้า หญิง และ เด็ก หญิง พ.ศ. 2471 มาตรา 4ซึ่ง ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ลงโทษ มา ด้วย นอกจาก นั้น ของกลาง คือ เงินสดจำนวน 72,500 บาท ธนบัตร สหรัฐ อเมริกา จำนวน 800 เหรียญ และธนบัตร เยอรมัน จำนวน 500 มาร์ก ไม่ปรากฏ ว่า เป็น ทรัพย์ ที่ ได้ มาหรือ ได้ ใช้ ใน การกระทำ ความผิด จึง ไม่ควร ริบ
พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 พระราชบัญญัติ ปรามการค้าประเวณีพ.ศ. 2503 มาตรา 8 ประกอบ ด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ซึ่ง เป็นการกระทำ กรรมเดียว เป็น ความผิด ต่อ กฎหมาย หลายบท ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 ซึ่ง เป็น บทที่ มี โทษหนัก ที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก คน ละ 3 ปี ลดโทษ ให้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คน ละ หนึ่ง ใน สาม จำคุก คน ละ 2 ปี และความผิด ตาม พระราชบัญญัติ ว่าด้วย การค้า หญิง และ เด็ก หญิง พ.ศ. 2471มาตรา 4 ซึ่ง ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ลงโทษ จำคุก คน ละ 5 ปี ลดโทษ ให้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คน ละ หนึ่ง ใน สาม จำคุก คน ละ 3 ปี 4 เดือนส่วน จำเลย ที่ 3 ยัง มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกประกอบ กับ มาตรา 264 ซึ่ง ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ลงโทษ จำคุก 1 ปีจำเลย ที่ 1 มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 282 ซึ่ง เป็น บทที่ มี โทษหนัก ที่สุด ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 จำคุก 2 ปี ลดโทษ ให้ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78หนึ่ง ใน สาม จำคุก 1 ปี 4 เดือน จำเลย ที่ 4 มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบ กับ มาตรา 264ซึ่ง ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ลงโทษ จำคุก 1 ปี รวม จำคุก จำเลย ที่ 1มี กำหนด 1 ปี 4 เดือน จำคุก จำเลย ที่ 2 มี กำหนด 5 ปี 4 เดือนจำคุก จำเลย ที่ 3 มี กำหนด 6 ปี 4 เดือน และ จำคุก จำเลย ที่ 4มี กำหนด 1 ปี ความผิด ข้อหา อื่น นอกจาก นี้ ให้ยก ของกลาง เฉพาะสมุดบัญชี จำนวน 4 เล่ม ให้ริบ

Share