คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเคยฝากข้าวเปลือกให้จำเลยสีเป็นข้าวสาร จำเลยก็สีให้ โดยผู้เสียหายให้ค่าตอบแทน ต่อมาผู้เสียหายให้จำเลยสีข้าวเปลือกอีก จำเลยเอาไปเป็นประโยชน์ต่อส่วนตัวเสีย ผู้เสียหายจึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีพนักงานสอบสวนไกล่เกลี่ยให้จำเลยคืนข้าวเปลือกแก่ผู้เสียหาย แต่ไม่ตกลงกัน ต่อมานายอำเภอได้ไกล่เกลี่ยอีกผู้เสียหายและจำเลยได้ทำสัญญาเป็นหนังสือโดยจำเลยเอารถยนต์ 1 คันจำนองผู้เสียหายและจะนำข้าวสารไปไถ่ถอนการจำนองเป็นรายเดือนจนกว่าจะครบ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้ผู้เสียหาย ถ้าจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายจะคืนรถยนต์และใบทะเบียนให้ เมื่อพิเคราะห์ถึงความเกี่ยวพันระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่มีต่อกันจนเกิดพิพาทและทำสัญญาต่อกันแล้วจะเห็นได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญาเพื่อระงับข้อพิพาททั้งในทางแพ่งและอาญา ถึงแม้ในสัญญาจะมิได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าให้คดีอาญาระงับไปก็ตาม แต่ตามรูปคดีพอถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญาโดยมุ่งประสงค์ให้ข้อหาทางอาญาระงับไป คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว จึงมีผลทำให้สิทธิที่จะนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง จำเลยยักยอกเอาข้าวเปลือกเหนียวหนัก 83,250 กิโลกรัมของนายยิ้มไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

จำเลยให้การปฏิเสธ

นายยิ้ม การพาณิชย์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นเห็นว่าผู้เสียหายกับจำเลยได้ยอมความกัน และไม่ติดใจว่ากล่าวในทางอาญาแล้ว คดีนี้เป็นความผิดต่อส่วนตัว สิทธิในการนำคดีมาฟ้องร้องย่อมระงับไป

โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้เสียหายกับจำเลยเป็นพ่อค้าติดต่อค้าขายมาเป็นเวลาหลายปี ผู้เสียหายเคยนำข้าวเปลือกเหนียวไปฝากไว้ที่โรงสีของจำเลยเพื่อให้จำเลยสีเป็นข้าวสารให้ โดยผู้เสียหายคิดค่าจ้างให้จำเลย ใน พ.ศ. 2506 ผู้เสียหายนำข้าวเปลือกเหนียวจำนวน 105,000 บาท กิโลกรัมไปฝากที่โรงสีจำเลย และมีข้อตกลงกันดังกล่าวข้างต้น จำเลยได้สีเป็นข้าวสารส่งให้ผู้เสียหาย 140 กระสอบ ยังคงเหลืออยู่อีก 537 กระสอบ จำเลยได้เอาข้าวที่ผู้เสียหายฝากไว้สีเป็นข้าวสารแล้วขายเอาเงินไปใช้หมดผู้เสียหายได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนขอให้ดำเนินคดีอาญาเจ้าพนักงานสอบสวนได้เรียกจำเลยกับผู้เสียหายไปสอบถามและแนะนำให้จำเลยหาข้าวสารเหนียวใช้ผู้เสียหายเรื่องจะได้เสร็จกันไปแต่ยังตกลงกันไม่ได้ ต่อมาประมาณ 3 เดือน นายอำเภอเชียงคำได้เรียกผู้เสียหายและจำเลยไปทำความตกลงกันโดยให้ทำสัญญากันไว้ คือจำเลยยอมตกลงจำนองรถยนต์บรรทุก 1 คันไว้กับผู้เสียหาย และจำเลยรับรองว่าจะนำข้าวสารเหนียวไถ่ถอนจำนองเป็นรายเดือน ๆ ละ 67 กระสอบโดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2506จนกว่าจะครบ 537 กระสอบและจะชำระให้เสร็จภายใน 30 มิถุนายน 2507 ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว จำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่จำนองให้แก่ผู้เสียหาย ถ้าจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว ผู้เสียหายจะคืนรถยนต์พร้อมทั้งทะเบียนให้จำเลย (ตามเอกสาร ล.2) เมื่อทำสัญญาล.2 แล้ว ผู้เสียหายไม่ได้ถอนคำร้องทุกข์ ขณะนี้จำเลยยังไม่ได้ไถ่จำนองเอารถยนต์คืนมา

เมื่อฟังข้อเท็จจริงได้ดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อผู้เสียหายไปร้องทุกข์ขอให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลยในทางอาญา พนักงานสอบสวนได้เรียกจำเลยไปสอบถามและแนะนำให้จัดการหาข้าวสารเหนียวส่งให้ผู้เสียหายเสียจะได้เสร็จเรื่องไป จึงเห็นได้ว่าในเบื้องต้นพนักงานสอบสวนก็ไกล่เกลี่ยจะให้เลิกคดีกันในทางอาญา ครั้นต่อมาอีก 3 เดือน นายอำเภอเชียงคำก็เรียกผู้เสียหายกับจำเลยไปทำความตกลงกันได้แล้ว นายอำเภอจึงทำสัญญาให้ตามเอกสารหมาย ล.2 ทั้งนี้ เห็นได้ว่านายอำเภอทำการไกล่เกลี่ยให้ผู้เสียหายกับจำเลยตกลงกันก็เนื่องจากผู้เสียหายไปกล่าวหาจำเลยในทางอาญานั่นเอง ฉะนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงความเกี่ยวพันระหว่างผู้เสียหายและจำเลยที่มีต่อกันตลอดมา จนกระทั่งได้เกิดพิพาทกันเรื่องข้าวเปลือกเหนียวดังกล่าว และต่อมาพนักงานสอบสวนได้พูดจาไกล่เกลี่ยจนกระทั่งนายอำเภอทำการไกล่เกลี่ยอีกครั้งหนึ่ง จึงตกลงกันได้และทำสัญญาหมาย ล.2 ไว้เป็นหลักฐาน จึงเห็นได้ชัดว่าในการทำสัญญาหมาย ล.2 ก็เพื่อระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับข้าวเปลือกเหนียวที่จำเลยรับฝากไว้และยังไม่ได้สีส่งให้ผู้เสียหาย ทั้งในทางแพ่งและในทางอาญานั่นเอง ศาลฎีกาเห็นว่า ถึงแม้ในสัญญาหมาย ล.2 มิได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าให้คดีอาญาเป็นอันระงับไปก็ตาม แต่ตามรูปคดีพอถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญา ล.2 ต่อกันก็โดยมุ่งประสงค์ให้ข้อหาในทางอาญาระงับไปด้วย เมื่อคดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว ผู้เสียหายกับจำเลยได้ทำสัญญายอมระงับข้อพิพาทในทางอาญากันแล้ว ก็มีผลทำให้สิทธิที่จะนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ชอบด้วยรูปคดีแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share