แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อพฤติการณ์เกิดขึ้นเป็นกรณีวิวาทสมัครใจต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน จำเลยจะยกข้อต่อสู้ว่าที่จำเลยกระทำไปนั้นมีลักษณะเป็นการป้องกันหาได้ไม่ และจำเลยจะอ้างว่ากระทำไปด้วยบันดาลโทสะก็ไม่ได้ เพราะจำเลยสมัครใจต่อสู้มาตั้งแต่แรก จำเลยมิได้ถูกฝ่ายผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมก่อน แล้วจำเลยจึงได้ทำร้ายฝ่ายผู้ตาย แต่การที่จำเลยถูกฝ่ายผู้ตายซึ่งมีจำนวนมากกว่าและมีอาวุธดีกว่ารุมทำร้ายจำเลย และการที่จำเลยเหวี่ยงมีดกราดไปมาถูกผู้ตายที่ขมับเพราะผู้ตายโผเข้ามา จำเลยไม่มีโอกาสเลือกแทงผู้ตายให้ถูกที่สำคัญได้ เพราะเป็นการชุลมุนต่อสู้กันหลายคน จะฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายยังไม่ได้ คงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนาเท่านั้น
ย่อยาว
โจทกฟ์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ ๓ นายเที่ยงและนางสาวสมจิตรอีกฝ่ายหนึ่ง ได้สมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ ๑ ใช้มีดปลายแปลมแทงทำร้ายนายเที่ยงตายโดยเจตนาฆ่า และแทงนางสาวสมจิตรจนได้รับอันตรายสาหัส และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ร่วมกันชกต่อยจำเลยที่ ๓ แต่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ใช้ไม้คานกับไม้ฟืนตีทำร้ายนายสวัสดิ์พวกจำเลยที่ ๓ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายอีกด้วย ส่วนจำเลยที่ ๓ กับพวกได้ร่วมกันใช้มีดเป็นอาวุธฟันและแทงจำเลยที่ ๑ จนได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัสขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมาย มาตรา ๒๙๕,๒๙๗,๒๘๘,๓๙๑ และให้ริบมีดของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ ๑ ใช้มีแทงนายเที่ยง สมประสงค์ ถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่า และจำเลยที่ ๑ ได้ใช้มีดปลายแหลมแทงนางสาวสมจิตร สมประสงค์ จนได้รับอันตรายสาหัส และจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ได้ใช้ไม้คานกับไม้ฟืนตีนายสวัสดิ์ สมประสงค์ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย แต่ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ได้ใช้กำลังกายชกต่อยจำเลยที่ ๓ ส่วนจำเลยที่ ๓ ฟังได้ว่าร่วมกับนางสาวสมจิตร สมประสงค์ ใช้มีดฟันและแทงจำเลยที่ ๑ และวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘,๒๙๕,๒๙๗ แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑๕ ปี จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมาอาญา มาตรา ๒๙๕ ให้จำคุก ๖ เดือน จำเลยที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ ให้จำคุก ๑ ปี ริบมีดของกลาง ส่วนข้อหาอื่นให้ยก จำเลยที่ ๒ ต้องขังมาพอแก่โจทก์แล้ว ให้ปล่อยตัวไป
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า มิได้สมัครใจเข้าต่อสู้กับนายเที่ยงผู้ตายกับพวก การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกนตัว จำเลยที่ ๑ มิได้มีเจตนาฆ่านายเที่ยงผู้ตาย ไม่มีเจตนาจะทำร้ายนางสาวสมจิตรให้ได้รับอันตรายถึงสาหัส การกระทำของจำเลยเป็นการบันดาลโทสะ ขอให้ยกฟ้องหรือมิฉะนั้นก็ให้ลงโทษน้อยลง
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ว่า จำเลยกระทำไปเพื่อช่วยเหลือป้องกันนายสวัสดิ์สามีของ จำเลย ซึ่งถูกจำเลยที่ ๑ ทำร้าย หรือถ้าฟังว่าจำเลยกระทำผิด ก็ขอให้ลดหย่อนผ่อนโทษหรือรอการลงโทษด้วย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นกรณีสมัครใจวิวาททำร้ายระหว่างจำเลยที่ ๑ และผู้ตายจำเลยที่ ๑ จึงอ้างสิทธิป้องกันตัวไม่ได้ พิเคราะห์ถึงอาวุธและลักษณะของฐานแผล ฟังว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาฆ่านายเที่ยงผู้ตาย ส่วนในกรณีที่จำเลยที่ ๑ใช้มีดแทงนางสาวสมจิตรได้ชื่อว่าจำเลยที่ ๑ กระทำไปโดยบันดาลโทสะ ส่วนจำเลยที่ ๓ นั้น จะอ้างสิทธิป้องกันตัวไม่ได้ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ ๑ ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ และ มาตรา ๒๙๗ ประกอบด้วยมาตรา ๗๒ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด ให้จำคุกมีกำหนด ๑๕ ปี จำเลยที่ ๓ ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุอันควรบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยคนละ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงให้จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑๐ ปี จำเลยที่ ๓ มีกำหนด ๘ เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกรณีวิวาทสมัครใจต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน จำเลยจะยกข้อสู้ว่า ที่จำเลยที่ ๑ กระทำไปมีลักษณะเป็นการป้องกันหาได้ไม่ และจำเลยที่ ๑ จะอ้างว่ากระทำไปด้วยบันดาลโทสะก็ไม่ได้ เพราะจำเลยที่ ๑ สมัครใจต่อสู้มาตั้งแต่แรก จำเลยที่ ๑ มิได้ถูกฝ่ายผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมก่อน แล้วจำเลยที่ ๑ จึงได้ทำร้ายฝ่ายผู้ตาย แต่การที่จำเลยที่ ๑ ถูกฝ่ายผู้ตายซึ่งมีจำนวนมากกว่าและมีอาวุธดีกว่ารุมทำร้ายจำเลยที่ ๑ และการที่จำเลยที่ ๑ เหวี่ยงมีดกราดไปมาถูกผู้ตายที่ขมับ เพราะผู้ตายโผเข้ามา จำเลยที่ ๑ ไม่มีโอกาสเลือกแทงผู้ตายให้ถูกที่สำคัญได้ เพราะเป็นการชุบมุลต่อสู้กันหลายคน จะฟังว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาฆ่าผู้ตายยังไม่ได้ จำเลยที่ ๑ คงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนา และทำร้ายร่างกายนางสาวสมจิตรได้รับอันตรายถึงสาหัส และทำร้ายนายสวัสดิ์ได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐,๒๙๕,๒๙๗ แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้มีกำหนด ๙ ปี จำเลยที่ ๑ ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษให้จำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๖ ปี นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์