แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับใน 30 วัน เจ้าพนักงานศาลได้ส่งคำบังคับให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2540 จำเลยจึงมีเวลาที่จะปฏิบัติตามคำบังคับเป็นเวลา 45 วัน นับแต่วันที่มีการปิดคำบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้คืนเงินให้จำเลยในวันที่ 9 มิถุนายน 2540 ยังไม่พ้นระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับ อีกทั้งศาลชั้นต้นยังมิได้ออกหมายบังคับคดี คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังนั้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเกี่ยวกับคำขออายัดเงินของโจทก์ได้ และก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งดังกล่าวศาลชั้นต้นได้ฟังคำแถลงของโจทก์เกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยที่แสดงว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาด้วยการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่คืนเงินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ผู้ขอเพื่อความสะดวกในการที่จะบังคับตามคำพิพากษา จึงเป็นดุลพินิจ ที่ชอบและถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน540,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสามพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาทจำเลยอุทธรณ์และวางเงินค่าขึ้นศาลค่าธรรมเนียมอื่น ๆ และค่าทนายความที่ต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นเงิน 106,125 บาทศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ทั้งสาม เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสามชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความรวม 9,000 บาทจำเลยฎีกาและวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเงิน 22,500 บาท ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์จำนวน 4,000 บาทจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสาม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ทั้งสามไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2540 ในวันเดียวกันนั้น จำเลยยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยวางศาลชดใช้แทนโจทก์ทั้งสามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำนวน 105,100 บาทศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและสอบถามโจทก์ก่อนจึงจะพิจารณาสั่ง วันที่ 18 เมษายน 2540 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลอายัดเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา พร้อมกับยื่นคำแถลงให้ศาลออกคำบังคับศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกคำบังคับบังคับใน 30 วัน และสั่งในคำร้องขออายัดเงินของโจทก์ว่าส่งสำเนาให้จำเลย นัดพร้อม วันที่ 21 เมษายน 2540 จำเลยยื่นคำแถลงขอรับเงินค่าทนายความจำนวน 4,000 บาท ที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเพราะมิได้แก้อุทธรณ์คืนจากศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รอไว้พิจารณาสั่งวันนัดพร้อมในวันที่ 9 มิถุนายน 2540 ซึ่งเป็นวันนัดพร้อม ศาลชั้นต้นสอบถามทนายโจทก์และทนายจำเลยแล้ว มีคำสั่งว่า ในชั้นนี้ยังไม่สมควรคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยจึงไม่อนุญาต ยกคำแถลงของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวน่าจะถือได้ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อายัดเงินจำนวนดังกล่าวแล้วเมื่อเงินวางศาลดังกล่าวเป็นของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอายัดไว้ตามคำขอของโจทก์แล้ว จึงเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ซึ่งโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินดังกล่าวเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่อาจยึดเงินจำนวนดังกล่าวของจำเลยไว้โดยจะอ้างว่าโจทก์ขออายัดตามคำร้องของโจทก์ลงวันที่ 18 เมษายน 2540 ไม่ได้ เพราะคดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2540 กรณีเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ซึ่งโจทก์ชอบที่จะไปดำเนินการต่างหาก และคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อายัดเงินจำนวนดังกล่าวแล้วพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับใน 30 วัน เจ้าพนักงานศาลได้ส่งคำบังคับให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2540 จำเลยจึงมีเวลาที่จะปฏิบัติตามคำบังคับเป็นเวลา 45 วัน นับแต่วันที่มีการปิดคำบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้คืนเงินให้จำเลยในวันที่ 9 มิถุนายน 2540 ยังไม่พ้นระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับ อีกทั้งศาลชั้นต้นยังมิได้ออกหมายบังคับคดีคดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดี ดังนั้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเกี่ยวกับคำขออายัดเงินของโจทก์ได้ และก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้ฟังคำแถลงของโจทก์เกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยที่แสดงว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาด้วยการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่คืนเงินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ผู้ขอเพื่อความสะดวกในการที่จะบังคับตามคำพิพากษา จึงเป็นดุลพินิจที่ชอบและถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
พิพากษายืน