แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นคำร้องว่า ในวันชี้สองสถานโจทก์แถลงขอสืบพยานในประเด็นว่าจำเลยขัดขวางมิให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญา จึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่โจทก์จะปฏิบัติตามสัญญาได้ แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้จดข้อแถลงของโจทก์ไว้ในรายงานพิจารณา จึงขอให้ศาลชั้นต้นบันทึกไว้เป็นประเด็นและขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์สืบพยานในข้อนี้ได้ โดยถือว่าเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีการผิดมาตรา 27 เป็นเรื่องกล่าวอ้างขึ้นใหม่นั้น เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้เป็นคำสั่งที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธว่าไม่มีเรื่องผิดระเบียบและปฏิเสธไม่ยอมให้โจทก์สืบพยานในประเด็นที่ไม่ได้กำหนดกันไว้ในวันนัดชี้สองสถาน จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 มิใช่คำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 228(2) และศาลชั้นต้นมีคำสั่งในเรื่องนี้ก่อนพิพากษาคดีเป็นเวลา 5 วัน โจทก์มีเวลาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น แต่โจทก์มิได้โต้แย้งไว้จึงต้องห้ามอุทธรณ์และกรณีไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240(2) ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้สัญญาเช่าสร้างตึกแถวและยกกรรมสิทธิ์ให้จำเลย จำเลยได้ผิดสัญญา กล่าวคือไม่ต่ออายุสัญญาให้แก่โจทก์ และไม่มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องขับไล่ผู้เช่าและผู้อาศัยในที่ดินของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา
จำเลยให้การว่าไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา
วันชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับกันว่า เอกสารท้ายฟ้องและท้ายคำให้การถูกต้องโจทก์แถลงว่าจะขอสืบพยานในประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิขอต่ออายุสัญญา ตามสัญญาข้อ 3 โจทก์มีสิทธิให้จำเลยมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องขับไล่ผู้เช่าผู้อาศัยในที่ดินของจำเลยตามสัญญาข้อ 8 และจำเลยทำผิดสัญญาข้อ 10 จำเลยแถลงขอสืบแก้ทุกประเด็น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษา
โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 1 กรกฏาคม 2511 ว่าในวันชี้สองสถานตัวโจทก์ได้แถลงต่อศาลว่าโจทก์จะขอสืบพยานในประเด็นว่า จำเลยขัดขวางมิให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญา จึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่โจทก์จะปฏิบัติตามสัญญาได้ แต่ศาลมิได้จดคำแถลงข้อนี้ไว้ในรายงานพิจารณาเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27ขอให้ศาลจดข้อแถลงดังกล่าวของโจทก์ไว้และให้โจทก์สืบพยานในประเด็นข้อนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของโจทก์ว่าไม่มีการผิดตามมาตรา 27 เป็นเรื่องกล่าวอ้างขึ้นใหม่สำเนาให้อีกฝ่ายรวมสำนวนแล้วศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องลงวันที่1 กรกฏาคม 2511 นั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์ไม่ได้โต้แย้งไว้ จึงต้องห้ามอุทธรณ์แล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 1 กรกฏาคม 2511ว่าในวันนัดชี้สองสถานตัวโจทก์แถลงว่าจะขอสืบพยานในประเด็นที่ว่าจำเลยขัดขวางมิให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญา จึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่โจทก์จะปฏิบัติตามสัญญาได้ แต่ศาลชั้นต้นไม่จดข้อแถลงที่กล่าวไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาจึงขอให้ศาลชั้นต้นบันทึกไว้เป็นประเด็นและขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์สืบพยานในข้อนี้ได้ โดยถือว่าเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 นั้นศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีการผิดมาตรา 27 เป็นเรื่องกล่าวอ้างขึ้นใหม่ ศาลฎีกาเห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งเช่นนี้เป็นคำสั่งศาลชั้นต้นปฏิเสธว่าไม่มีเรื่องผิดระเบียบและปฏิเสธว่าไม่ยอมให้โจทก์สืบพยานในประเด็นที่มิได้กำหนดกันไว้ในวันนัดชี้สองสถาน จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 มิใช่คำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(2) ดังที่โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรื่องนี้ในวันที่ 1 กรกฏาคม 2511และพิพากษาคดีนี้วันที่ 5 กรกฏาคม 2511 โจทก์มีเวลาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นแต่โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาในข้อนี้ชอบแล้ว และกรณีไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240(2) ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์