แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องเรียกเงินกู้ จำเลยต่อสู้ว่าไม่เคยกู้เงิน ไม่เคยทำสัญญากู้พิมพ์ลายนิ้วมือให้โจทก์โดยตรงตามเอกสารท้ายฟ้อง โจทก์ทำปลอมขึ้น เอกสารท้ายฟ้องไม่ถูกต้องทั้งหมดและไม่สมบูรณ์ ดังนี้ เป็นข้อต่อสู้กำกวม คล้ายกับจะให้เข้าใจว่าจำเลยไม่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือให้โจทก์ เมื่อสืบพยานจำเลย ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลย 5 ปากว่าจำเลยกู้เงินนายหยิบลงลายมือชื่อให้ในกระดาษเปล่า จำเลยทราบว่านายหยิบให้ลายพิมพ์นิ้วมือแก่โจทก์ จำเลยขอสืบพยานต่อไป ศาลไม่อนุญาตให้สืบ เป็นการชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2492 จำเลยได้กู้เงินโจทก์ 6,000 บาท ตกลงกันว่าหลังจากหนึ่งปีนับแต่วันกู้ถ้าจำเลยไม่ใช้คืน จำเลยยอมให้ดอกเบี้ยเป็นเงินชั่งละหนึ่งบาทต่อเดือนตามหนังสือสัญญากู้ โจทก์ได้ทวงถามหลายครั้งก็ไม่ชำระ ขอให้จำเลยใช้เงิน 6,000 บาทกับดอกเบี้ย 7 เดือน 525 บาท รวมเป็นเงิน 6,525 บาท กับดอกเบี้ยต่อไป
จำเลยแก้ว่า ไม่เคยกู้เงินและไม่เคยทำหนังสือสัญญากู้ลงลายพิมพ์นิ้วมือโดยตรงให้โจทก์ตามเอกสารท้ายฟ้องโจทก์ โจทก์กับพวกมีเจตนาไม่สุจริตสมคบกันกระทำเอกสารกู้ท้ายฟ้องปลอมขึ้นเพื่อฉ้อโกงจำเลย เอกสารสัญญาท้ายฟ้องไม่ถูกต้องทั้งหมดและไม่สมบูรณ์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ตามคำให้การจำเลยปฏิเสธสัญญากู้ตลอดจนลายพิมพ์นิ้วมือของผู้กู้ในสัญญา และแถลงตามรายงานพิจารณาลงวันที่ 22 มกราคม 2494 ว่า ที่ว่าสัญญากู้ไม่สมบูรณ์โดยจำเลยไม่ใช่คู่สัญญาและไม่ได้รับเงิน เมื่อโจทก์สืบพยานได้ให้ผู้ชำนาญตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยเทียบกับลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญากู้ ปรากฏผลว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือคน ๆ เดียวกัน เมื่อจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานกลับรับว่า ลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญากู้เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย แต่อ้างว่าได้ลงลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญากู้ในคราวกู้เงินจากนายหยิบ จำเลยได้ทราบเรื่องนี้และได้เห็นหนังสือสัญญากู้ที่โจทก์อ้างก่อนโจทก์ส่งไปพิสูจน์แล้ว แต่จำเลยมิได้แถลงให้ทราบ ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนประเด็นข้อต่อสู้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177, 180, 181 ข้อนำสืบของจำเลยก็แตกต่างขัดกันและขัดต่อเหตุผล จำเลยว่าทำนาที่ทุ่งประดู่ 80 ไร่ ก่อนมากู้เงินจากนายหยิบ ได้ข้าวอย่างต่ำ 5 เกวียน อย่างสูง 10 เกวียน ถ้ามีนาและทำจริงก็ไม่น่าจะไปกู้เงินนายหยิบเพียง 20 บาทโดยใช้ข้าว 50 ถังแทนการกู้เงินเพียง 20 บาท กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำเป็นหนังสือ และการที่จำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือให้นายหยิบไว้โดยไม่กรอกข้อความก็ไม่สมเหตุผล เมื่อจำเลยใช้ข้าวแล้วยังได้ขอสัญญาคืน นายหยิบว่าหายจำเลยก็เชื่อ โดยเห็นว่านายหยิบเป็นคนดีไม่เคยคดโกง แต่ต่อมาอีก10 วัน จำเลยกลับไปขอสัญญาคืนอีกอ้างว่าเพราะอยากได้คืน นายหยิบได้บอกว่าหายอีก จำเลยไม่ติดใจสงสัย คราวนายหยิบให้กู้จำเลยยังต้องลงลายพิมพ์นิ้วมือให้ เหตุใดจำเลยไม่ขอหลักฐานการรับรองใช้เงิน สรุปความแล้วพยานหลักฐานของจำเลยรับฟังไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องฟังพยานอื่นอีก พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 6,000 บาท กับดอกเบี้ยที่ค้าง 525 บาท รวมเป็น 6,525 บาทกับดอกเบี้ยต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียมและค่าทนาย 250 บาทให้โจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พิเคราะห์ตามคำให้การต่อสู้คดีของจำเลย มีแต่คำปฏิเสธลอย ๆ หาได้ให้มูลเหตุแห่งคำปฏิเสธไม่ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 ซึ่งจำเลยไม่มีประเด็นจะสืบ เมื่อสืบพยานโจทก์เป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยปฏิเสธการกู้เงินและเอกสารสัญญากู้ทั้งฉบับ แต่เมื่อมีการสืบวิจักขณะพยานพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือผู้กู้ ซึ่งก่อนการพิสูจน์จำเลยเบิกความว่า จำเลยได้ทราบเรื่องที่นายหยิบให้ลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยแก่โจทก์แล้ว ไฉนจำเลยจึงไม่แถลงเสียแต่ต้น ทั้งการจะถามคำพยานโจทก์เกี่ยวแก่นายหยิบเพื่อให้โจทก์มีโอกาสต่อสู้กับจำเลยก็ไม่ถาม ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลย จึงไม่มีเหตุจะแก้ไข ส่วนข้อเท็จจริงพยานจำเลยก็เบิกความแตกต่างขัดกันมากเชื่อไม่ได้ จึงพิพากษายืน ให้จำเลยเสียค่าทนายความแก่โจทก์อีก 100 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ประชุมพิจารณาแล้ว ตามคำให้การแก้คดีของจำเลยที่ว่า ไม่เคยกู้เงินไม่เคยทำหนังสือกู้ลงลายพิมพ์นิ้วมือโดยตรงให้โจทก์ โจทก์กับพวกเจตนาไม่สุจริตทำเอกสารปลอมขึ้น เอกสารไม่ถูกต้องทั้งหมดและไม่สมบูรณ์ คำกล่าวแก้ดังกล่าวกำกวมไม่จะแจ้งชัดเจนว่าจะต่อสู้คดีในทางใดแน่ กล่าวคือ จะว่ารับเรื่องลายพิมพ์นิ้วมือหรือปฏิเสธก็ไม่แน่ทั้งสองประการ ในตอนต้นกล่าวว่าไม่เคยกู้ไม่เคยทำหนังสือสัญญากู้ลงลายพิมพ์นิ้วมือโดยตรงให้โจทก์ คล้าย ๆ กับจะให้เข้าใจว่าไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย แต่กลับมีคำว่าโดยตรงให้โจทก์อีกด้วย ยังกล่าวอีกว่าโจทก์กับพวกสมคบกันกระทำเอกสารกู้ปลอมขึ้น คล้าย ๆ กับจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยแต่ก็ยังกล่าวต่อไปอีกว่า เอกสารสัญญาท้ายฟ้องไม่ถูกต้องทั้งหมดและไม่สมบูรณ์ คล้าย ๆ กับจะว่าเอกสารไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือจะว่าถูกต้องก็ถูกต้องบางส่วน ยิ่งกว่านั้นปรากฏตามรายงานพิจารณาลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2494 ฝ่ายโจทก์ได้แถลงว่าก่อนที่จะส่งลายพิมพ์นิ้วมือไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ ได้ขอให้จำเลยตกลงในประเด็นว่า ถ้าผู้เชี่ยวชาญตรวจและรับรองว่า เป็นลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยก็ขอให้ถือว่าจำเลยยอมแพ้ และถ้าว่าไม่ใช่โจทก์ก็ยอมแพ้ ฝ่ายจำเลยก็ยังคงแถลงว่าได้ต่อสู้ไว้ตามคำให้การแล้ว รวมความว่าจำเลยพยายามอำพรางข้อต่อสู้ตลอดมา หลังจากโจทก์ได้สืบพยานผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยแล้ว จำเลยจึงได้สืบพยานรับเข้ามาว่าหนังสือสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องนั้น เป็นหนังสือสัญญาที่จำเลยได้กู้เงินจากนายหยิบ ได้นำสืบพยานเกี่ยวแก่ข้อนำสืบดังกล่าวนี้รวม 4 ปากด้วยกันแล้ว แล้วยังจะขอสืบต่อไปอีก แถลงว่าจะสืบว่าโจทก์ก็เคยกู้เงินของคนอื่นบ้าง จะสืบฐานะของจำเลยและของโจทก์บ้าง จะสืบนายร้อยตำรวจเอกไสวรินทร์พยานผู้เชี่ยวชาญคนเดียวกับที่โจทก์ได้สืบมาแล้วบ้าง โดยแถลงว่าจะสืบว่าหมึกที่ใช้พิมพ์ลายนิ้วมือกับที่ใช้เขียนข้อความในสัญญากู้ของโจทก์เป็นหมึกชนิดเดียวกันหรือเก่าใหม่ต่างกันอย่างไร ในที่สุดศาลชั้นต้นคงให้สืบเฉพาะนายร้อยตำรวจเอกไสวรินทร์แต่ผู้เดียวศาลนี้เห็นว่าข้อที่จำเลยแถลงว่าจะขอสืบพยานอีกนั้น จำเลยมิได้กล่าวอ้างในคำให้การต่อสู้คดี เป็นแต่กล่าวอย่างคลุมเครือดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว ซึ่งไม่มีใครจะทราบได้โดยแน่นอนว่าจำเลยจะสืบพยานตามข้อความที่จำเลยแถลงขอสืบนั้น ถ้อยคำที่แถลงก็ยังไม่ชัดแจ้งว่าจะสืบถึงฐานะของคู่ความว่าเป็นอย่างไร เป็นแต่แถลงว่าจะสืบถึงฐานะเฉย ๆ ฐานะใครเป็นอย่างไรหาได้แถลงให้ชัดเจนไม่ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นด้วย ตรงกันข้ามจำเลยในคดีนี้พยายามอำพรางข้อต่อสู้ตลอดมา ปิดบังข้อนำสืบไม่แสดงเหตุแห่งการที่จะสืบพยานให้ชัดแจ้ง ศาลชั้นต้นก็ได้ให้จำเลยสืบพยานรวม 5 ปากด้วยกันแล้ว พยานที่นำสืบเหตุผลก็ไม่น่าเชื่อฟัง กล่าวคือ จำเลยอ้างว่าเคยกู้เงินนายหยิบเมื่อ 17-18 ปีมาแล้ว เป็นเงิน30 บาท ได้ลงลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญากู้และไม่ได้เขียนข้อความไว้ตกลงใช้เงินปลายปีเป็นข้าว จำเลยได้ใช้ข้าวให้แล้ว แต่ไม่ได้รับสัญญากู้เงินคืน เพิ่งจะไปเอาสัญญาคืนเมื่อเดือนยี่แรม 10 ค่ำพ.ศ. 2495 อ้างว่าเคยถามนายหยิบเรื่องสัญญากู้ แต่นายหยิบว่าหายการกู้เงินเพียง 30 บาทกฎหมายมิได้บังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ หากจะได้ทำกันไว้จริงก็ชอบที่จะได้เรียกคืนเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว การนำสืบของจำเลยก็ฟังไม่ได้ว่า อีกฝ่ายหนึ่งจะได้กระทำปลอมขึ้น ข้อที่จำเลยกล่าวในฎีกาว่าการปิดอากรแสตมป์สัญญากู้รายนี้มิได้ปิดในขณะทำสัญญาย่อมใช้ไม่ได้นั้น ข้อเท็จจริงไม่ได้ความดังที่จำเลยกล่าว กลับได้ความว่าได้ปิดอากรแสตมป์ในขณะทำสัญญานั่นเอง จึงไม่เป็นปัญหาที่จะวินิจฉัยตามที่จำเลยขึ้นกล่าวศาลทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ให้ยกฎีกาพิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายชั้นฎีกาแทนโจทก์อีก 150 บาท