คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1591/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ จำเลยที่ 1 และทายาทอื่นครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกันมา จำเลยที่ 1 โอนที่ดินมรดกให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งไม่ใช่ทายาทโดยไม่มีค่าตอบแทน โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่นำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 59 และ 619 ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายเทศแบ่งให้โจทก์หนึ่งในหกส่วนของที่ดินแต่ละแปลงดังกล่าว หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำไปประมูลหรือขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งปันแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายเทศ ซึ่งเป็นบิดาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ขณะที่นายเทศมีชีวิตอยู่ได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 พร้อมส่งมอบแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (สค.1) ให้ โดยบอกให้จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินดังกล่าวให้แก่นางบุญ นายหลุย และนายเขียว พี่น้องของนายเทศด้วย จำเลยที่ 1 ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ตลอดมา ต่อมาปี 2513 นายเทศได้ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 จึงไปขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับโอนที่ดินดังกล่าวโดยสุจริตโจทก์ก็ทราบดีไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้านแต่อย่างใด และหากฟังว่าที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกของนายเทศ ฟ้องโจทก์ก็ขาดอายุความเพราะมิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนด 1 ปี หรือ 10 ปี นับแต่นายเทศเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย นายวนิชย์ ทายาทของจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสี่ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 59 และ 619 ให้แก่โจทก์หนึ่งในหกส่วนของแต่ละแปลง หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำที่ดินดังกล่าวออกประมูลกันเอง หากประมูลไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้มาแบ่งให้โจทก์หนึ่งในหกส่วน กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า นายเทศ เจ้ามรดกเป็นบุตรของนายเกิดและนางช่วย มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันคือ นางบุญ นายหลุย และนายเขียว โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนายเทศ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรของนายเขียว ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ที่ดินพิพาทเดิมมีหลักฐาน สค.1 เลขที่ (61) 59 ตำบลโคกสูง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ประมาณ 22 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวาเป็นของนายเกิดและนางช่วย หลังจากนายเกิดและนางช่วยถึงแก่ความตาย นายเทศได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ต่อมาปี 2513 นายเทศถึงแก่ความตายที่ดินพิพาทตกเป็นมรดกของนายเทศ จำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินพิพาทไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ได้เนื้อที่เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 31 ไร่ 1 งาน 65 ตารางวา ต่อมาวันที่ 5 มิถุนายน 2515 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทโอนให้แก่นางแก้ว ซึ่งเป็นบุตรของนางบุญพี่สาวของนายเทศ เนื้อที่ 15 ไร่ 1 งาน 79 ตารางวา และในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของนายเขียวพี่ชายนายเทศ เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน 16 ตารางวา ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนนิติกรรมใส่ชื่อจำเลยที่ 3 ให้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 219 สำหรับที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือ เนื้อที่ 8 ไร่ 90 ตารางวา ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 59 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโดยให้จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรสาว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นและฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดกหรือไม่ ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่านายเทศซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 1 และโจทก์ได้ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เข้าทำนาในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2510 ซึ่งขณะนั้นนายเทศยังมีชีวิตอยู่และหลังจากนายเทศถึงแก่ความตายแล้วจำเลยที่ 1 ก็เข้าทำนาในที่ดินพิพาทเรื่อยมาอันเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ก่อนนายเทศถึงแก่ความตายนั้น หลังจากที่นายเทศเจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้วแม้จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์และทายาทอื่นของนายเทศ ไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะครอบครองที่ดินพิพาทมานานเพียงใด เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้แสดงเจตนาต่อโจทก์ชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายเทศคนหนึ่งย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของนายเทศในส่วนของตนได้ ฟ้องโจทก์หาขาดอายุความไม่ ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายเทศ การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โดยไม่มีค่าตอบแทนเป็นทางเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน ย่อมขอให้เพิกถอนการโอนเฉพาะส่วนของตนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 ทั้งสองแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share