แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับมูลหนี้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1ยินยอมชำระเงิน 10,240,369.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงิน8,980,599.63 บาทนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ และจากยอดเงิน 10,240,369.65 บาทดังกล่าว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันยินยอมชำระเป็นเงิน 1,707,863.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงิน1,500,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3จะชำระหนี้แก่โจทก์ภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ดังกล่าว หากผิดนัดยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบจำนวนหนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยินยอมรับผิดต่อโจทก์เต็มตามฟ้องทุกประการ ทั้งยอดหนี้รวมยอดหนี้ซึ่งใช้เป็นฐานในการคิดดอกเบี้ยต่อไป ตลอดทั้งกำหนดเวลาในการเริ่มต้นคิดดอกเบี้ยอีก นอกจากนี้การตกลงประนีประนอมยอมความเกิดขึ้นขณะคดีอยู่ระหว่างพิจารณา ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นกรณีที่คู่ความเฉพาะโจทก์กับจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 แสดงเจตนาระงับข้อพิพาทตามฟ้องโดยประสงค์ให้ศาลพิพากษาให้ข้อตกลงดังกล่าวบังเกิดผลจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาเฉพาะโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้มีผลเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 4 และที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมในหนี้เดิม ถือไม่ได้ว่าหนี้เดิมระงับและเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่และการที่โจทก์ตกลงให้เวลา 6 เดือนในการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นับแต่วันที่ตกลงกันจำเลยที่ 4 และที่ 5 ก็ต้องห้ามมิให้อ้างเป็นเหตุปลดเปลื้องความรับผิดดังที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันเบิกเงินเกินบัญชี จำเลยที่ 4 และที่ 5จึงยังไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์หากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยในกำหนดยอมให้โจทก์นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเป็นต้นเงินได้ โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 กับที่ 5 เข้าทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ยังได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ไว้กับโจทก์ด้วย โดยมีข้อตกลงว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ยอมรับผิดในส่วนที่ขาดจนครบ ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2538 โจทก์ได้หักทอนบัญชีปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 8,960,599.63 บาท โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาพร้อมบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยทั้งห้าแล้ว แต่จำเลยทั้งห้าเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 10,240,369.65 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงิน 8,960,599.63 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จโดยให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 1,707,863.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงิน 1,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 57757, 57758, 57769, 57770 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ที่ดินโฉนดเลขที่ 31191 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 และที่ดินโฉนดเลขที่ 17675 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบ
จำเลยที่ 1 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา วันที่ 5 กันยายน 2539 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยที่ 1ยอมชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 10,240,369.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงิน 8,980,599.63 บาท นับถัดจากวันฟ้อง(วันที่ 29 ธันวาคม 2538) จนกว่าจะชำระเสร็จ และในเงินจำนวน10,240,369.65 บาท นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอมรับผิดชำระแก่โจทก์จำนวน 1,707,863.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงิน1,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยจะชำระหนี้ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความหากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที โดยให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนกว่าจะครบส่วนจำเลยที่ 4 ที่ 5 ไม่ได้ตกลงด้วย ศาลชั้นต้นจึงพิจารณาคดีเฉพาะจำเลยที่ 4ที่ 5 ต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 10,240,369.65 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงินจำนวน 8,980,599.63บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับผิดในหนี้จำนวนดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ เป็นเงินจำนวน 1,707,863.01บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงิน 1,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความจำนวน 50,000 บาทแทนโจทก์ โดยให้ชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ (วันที่ 5 กันยายน2539) หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 57757, 57758, 57770พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ที่ดินโฉนดเลขที่ 31191 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 และที่ดินโฉนดเลขที่ 17675 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 3ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากไม่พอชำระ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบ กับให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันรับผิดในหนี้จำนวนดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์เป็นเงินจำนวน 1,707,863.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงินจำนวน 1,500,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 4 ที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ประการแรกมีว่า การที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ตกลงกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 5 กันยายน 2539(เอกสารอันดับที่ 30 ในสำนวน โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยินยอมชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ เป็นการแปลงหนี้ใหม่ทำให้หนี้ตามฟ้องระงับ จำเลยที่ 4 และที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันตามมูลหนี้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเดิมจึงหลุดพ้นจากความรับผิดหรือไม่ เห็นว่า ข้อความที่ปรากฏในสัญญาดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับมูลหนี้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตกลงว่าจำเลยที่ 1ยินยอมชำระเงินจำนวน 10,240,369.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ18 ต่อปีในต้นเงิน 8,980,599.63 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ และจากยอดเงินจำนวน 10,240,369.65 บาท ดังกล่าว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยินยอมชำระเป็นเงิน 1,707,863.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงิน 1,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จะชำระหนี้ตามที่ยินยอมให้แก่โจทก์ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ดังกล่าว หากผิดนัด จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบจำนวนหนี้และโจทก์ยอมตามข้อตกลงดังกล่าวไม่ติดใจดำเนินคดีอีกต่อไป จากข้อความที่ปรากฏเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยินยอมรับผิดต่อโจทก์เต็มตามฟ้องทุกประการ ทั้งยอดหนี้รวม ยอดหนี้ซึ่งจะใช้เป็นฐานในการคิดดอกเบี้ยต่อไปตลอดทั้งกำหนดเวลาในการเริ่มต้นคิดดอกเบี้ยอีก ซึ่งมูลหนี้ตามฟ้องก็คือความรับผิดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ 1 มีต่อโจทก์และความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีต่อโจทก์ เพียงแต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ขอเวลา 6 เดือนในการชำระหนี้นับแต่วันที่ตกลงกันเท่านั้น นอกจากนี้การตกลงประนีประนอมยอมความที่เกิดขึ้นขณะคดีอยู่ระหว่างพิจารณา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นกรณีที่คู่ความเฉพาะโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 แสดงเจตนาระงับข้อพิพาทตามฟ้องโดยประสงค์ให้ศาลพิพากษาให้ข้อตกลงดังกล่าวบังเกิดผล จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาเฉพาะโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เท่านั้น มิได้มีผลเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 4 และที่ 5 ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าหนี้เดิมระงับ และถือไม่ได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้อันจะเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ส่วนการที่โจทก์ตกลงให้เวลา 6 เดือนในการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นับแต่วันที่ตกลงกัน จำเลยที่ 4 และที่ 5 ก็ถูกต้องห้ามมิให้กล่าวอ้างเป็นเหตุปลดเปลื้องความรับผิดดังที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันเบิกเงินเกินบัญชี ข้อ 3 เอกสารหมาย จ.25 และ จ.24จำเลยที่ 4 และที่ 5 จึงยังไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาดังกล่าวคำพิพากษาฎีกาที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 อ้าง ข้อเท็จจริงต่างกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ประการที่สองมีว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 รับผิดต่อโจทก์โดยชำระเงินจำนวน 1,707,863.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงิน1,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้ง ๆ ที่ได้พิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับผิดในหนี้จำนวนดังกล่าวต่อโจทก์แล้ว เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินจำนวน 1,707,863.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงิน 1,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ดังนี้ แม้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่มีต่อกันและยื่นส่งต่อศาลเพื่อให้คำพิพากษาตามยอม แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 4 และที่ 5 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย ศาลก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ร่วมรับผิดได้ หาเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ปรากฏว่าที่ดินที่จำเลยที่ 1จำนองมี 4 แปลง คือ ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 57757, 57758, 57769 และ57770 ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินทั้งสี่แปลงเป็นประกันต่อโจทก์ในคราวเดียวกันตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.26 ที่สัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนอง จึงหมายถึงทรัพย์จำนองทั้งสี่แปลงตามฟ้องโจทก์นั่นเอง ฉะนั้นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ระบุที่ดินจำนองของจำเลยที่ 1 เพียง 3 แปลงขาดไป 1 แปลง คือ ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 57769 จึงเป็นข้อผิดหลงเล็กน้อยเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนมาโดยมิได้แก้ไข ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143”
พิพากษายืน เว้นแต่ในกรณีบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 ให้บังคับเอาแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 57769 ด้วย