คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1587/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้กฎหมายมิได้บัญญัติไว้แจ้งชัดว่าผู้รับฝากสินค้าหรือผู้รักษาทรัพย์มีสิทธิรับชำระหนี้ก่อนหรือหลังผู้รับจำนำใบรับฝากสินค้าและใบประทวนสินค้าเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อผู้รับจำนำไม่อาจใช้สิทธิในฐานะผู้มีบุริมสิทธิในลำดับที่หนึ่งต่อผู้รับฝากสินค้าหรือผู้รักษาทรัพย์ได้ เนื่องจากขณะรับจำนำผู้รับจำนำทราบแล้วว่า ผู้รับฝากหรือผู้รักษาทรัพย์เป็นผู้รับฝากสินค้าไว้ก่อนแล้วทั้งเป็นการรับฝากสินค้าเพื่อประโยชน์แก่ผู้รับจำนำนั้นเองด้วยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 278 วรรคสอง จึงถือได้ว่าผู้รับฝากสินค้าหรือผู้รักษาทรัพย์ย่อมมีบุริมสิทธิดีกว่าผู้รับจำนำและมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนผู้รับจำนำ

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ได้นำสินค้าเครื่องถ่ายเอกสารเครื่องพิมพ์และกล้องสำรวจไปฝากกับผู้ร้อง ตกลงชำระค่าบำเหน็จในการเก็บรักษาสินค้าเดือนละ 4,500 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้สลักหลังใบรับฝากและประทวนสินค้าจำนำไว้กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัดมีหนังสือบอกกล่าวการจำนำให้ผู้ร้องทราบ ผู้ร้องจึงจดแจ้งการจำนำไว้ที่ต้นขั้วใบรับฝากสินค้า จำเลยที่ 1 ชำระค่ารักษาสินค้าให้ผู้ร้องบางส่วนโดยค้างชำระตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2532 เป็นต้นมาและไถ่ถอนสินค้าไปบางส่วน ต่อมาเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงทำการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่ฝากกับผู้ร้อง ผู้ร้องจึงยื่นคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้บุริมสิทธิ แต่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจจำกัด ยื่นคำคัดค้านว่าผู้ร้องไม่ใช่เจ้าหนี้มีประกัน ไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าฝากสินค้าเป็นเงิน 20,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยให้สิทธิรับภายหลังที่เหลือจากชำระหนี้ให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด แล้ว ขอให้แก้ไขคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ก่อนบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านทำนองเดียวกันว่าแม้ผู้ร้องจะเป็นเจ้าหนี้มีประกัน แต่ก็อยู่ในลำดับที่จะได้รับชำระหนี้ภายหลังบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับจำนำ และถึงแม้ว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจจำกัด รู้ว่าผู้ร้องเป็นผู้รักษาทรัพย์เพื่อประโยชน์ของตนก็ตามแต่ก็ไม่ได้ใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 278(1)และ (2) ต่อผู้ร้อง แต่เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพื่อชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ขอให้ยกคำร้อง
คู่ความทุกฝ่ายไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 20,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2532 จนถึงวันขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 โดยให้สิทธิผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดในลำดับเดียวกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่คู่ความทุกฝ่ายแถลงรับร่วมกันว่า จำเลยที่ 1 นำสินค้าไปฝากกับผู้ร้องและนำใบรับฝากสินค้าและใบประทวนสินค้าที่ผู้ร้องออกให้สลักหลังจำนำไว้กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด และมีการบอกกล่าวการรับจำนำให้ผู้ร้องทราบแล้ว ต่อมาวันที่ 29 กันยายน2532 ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาด ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้บุริมสิทธิ โดยขอรับชำระหนี้ก่อนบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ผู้ร้องในฐานะผู้รับฝากสินค้ามีสิทธิได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อนบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด ผู้รับจำนำสินค้าหรือไม่เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 278 บัญญัติว่า “เมื่อมีบุริมสิทธิแย้งกันหลายรายเหนืออสังหาริมทรัพย์อันหนึ่งอันเดียวกันท่านให้ถือลำดับก่อนหลังดังที่เรียงไว้ต่อไปนี้คือ
(1) บุริมสิทธิในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ พักอาศัยในโรงแรมและรับขน
(2) บุริมสิทธิในมูลรักษาสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ามีบุคคลหลายคนเป็นผู้รักษา ท่านว่าผู้ที่รักษาภายหลังอยู่ในลำดับก่อนผู้ที่ได้รักษามาก่อน
(3) …
ถ้าบุคคลผู้ใดมีบุริมสิทธิอยู่ในลำดับเป็นที่หนึ่ง และรู้อยู่ในขณะที่ตนได้ประโยชน์แห่งหนี้มานั้นว่ายังมีบุคคลอื่นซึ่งมีบุริมสิทธิอยู่ในลำดับที่สองหรือที่สามไซร้ ท่านห้ามมิให้บุคคลผู้นั้นใช้สิทธิในการที่ตนอยู่ในลำดับก่อนนั้นต่อบุคคลอื่นเช่นว่ามา และท่านห้ามมิให้ใช้สิทธินี้ต่อผู้ที่ได้รักษาทรัพย์ไว้เพื่อประโยชน์แก่บุคคลผู้มีบุริมสิทธิในลำดับที่หนึ่งนั้นเองด้วย….”และมาตรา 282 บัญญัติว่า “เมื่อมีบุริมสิทธิแย้งกับสิทธิจำนำสังหาริมทรัพย์ ท่านว่าผู้รับจำนำย่อมมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกันกับผู้ทรงบุริมสิทธิในลำดับที่หนึ่ง ดังที่เรียงไว้ในมาตรา 278นั้น” กรณีนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด เป็นผู้รับจำนำสินค้าจากจำเลยที่ 1 มีบุริมสิทธิในฐานะเป็นผู้รับจำนำส่วนผู้ร้องเป็นผู้รับฝากสินค้าจากจำเลยที่ 1 มีบุริมสิทธิในฐานะเป็นผู้รับฝากทรัพย์เช่นกัน จึงเป็นกรณีที่บุริมสิทธิของผู้ร้องในฐานะผู้รับฝากสินค้าแย้งกับสิทธิจำนำของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด ซึ่งกรณีเช่นนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด ในฐานะผู้รับจำนำย่อมมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกันกับผู้ทรงบุริมสิทธิในลำดับที่หนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 282 อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด มีบุริมสิทธิอยู่ในลำดับที่หนึ่งในฐานะผู้รับจำนำสินค้า แต่ขณะที่รับจำนำสินค้าได้ทราบแล้วว่าผู้ร้องเป็นผู้รับฝากสินค้าของจำเลยที่ 1 ไว้ก่อนแล้ว ซึ่งการที่ผู้ร้องรับฝากสินค้าของจำเลยที่ 1 ไว้ก็เพื่อประโยชน์แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด ผู้มีบุริมสิทธิในลำดับที่หนึ่งนั้นเองด้วย ดังนี้ กรณีจึงต้องห้ามมิให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด ใช้สิทธิในฐานะผู้มีบุริมสิทธิในลำดับที่หนึ่งนั้นต่อผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับฝากสินค้าหรือผู้รักษาทรัพย์ซึ่งมีบุริมสิทธิอยู่ในลำดับที่สองตามนัยมาตรา 278 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และแม้กฎหมายมิได้บัญญัติไว้แจ้งชัดว่ากรณีเช่นนี้ ผู้ร้องในฐานะผู้รับฝากสินค้าหรือผู้รักษาทรัพย์มีสิทธิรับชำระหนี้ก่อนหรือหลังบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจจำกัด ผู้รับจำนำเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด ไม่อาจใช้สิทธิในฐานะผู้มีบุริมสิทธิในลำดับที่หนึ่งต่อผู้ร้องได้เช่นนี้แล้ว จึงถือได้ว่าผู้ร้องย่อมมีบุริมสิทธิดีกว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด และมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัดอุทธรณ์ข้อกฎหมายของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ในลำดับก่อนบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share