คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1586/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้ใหญ่บ้านมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานและยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสภาตำบลโดยตำแหน่ง ซึ่งต้องรับผิดชอบร่วมกันกับคณะกรรมการสภาตำบลในการดำเนินการตามโครงการสร้างงานในชนบทตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยโครงการสร้างงานในชนบท พ.ศ. 2524 ข้อ 24 การที่จำเลยที่ 5 และที่ 6ปฏิบัติหน้าที่ไปตามระเบียบดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 5 และที่ 6 ปฏิบัติงานในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ 7ที่ 8 และที่ 9 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาตำบล ที่ราษฎรเลือกตั้งขึ้นมาตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 326 ลงวันที่ 13ธันวาคม 2515 ซึ่งไม่ได้ระบุให้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาแม้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยโครงการสร้างงานในชนบทพ.ศ. 2524 จะกำหนดให้ต้องรับผิดชอบร่วมกันกับคณะกรรมการสภาตำบลก็หาทำให้จำเลยที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายไม่ สำหรับจำเลยที่ 10 เป็นราษฎรเป็นกรรมการควบคุมงานต่อเติมทำนบที่สภาตำบลแต่งตั้งกันขึ้นมาเอง ไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายการที่จำเลยทั้งหมดโดยทุจริตร่วมกันเบียดบังเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามโครงการสร้างงานในชนบท จำเลยที่ 5 และที่ 6 ย่อมมีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการส่วนจำเลยที่ 7 ถึงที่ 10 ซึ่งไม่ใช่เจ้าพนักงานคงมีความผิดเพียงฐานเป็นผู้สนับสนุน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 147, 151, 157, 162, 264, 265, 266 และ 268
จำเลยทั้งสิบให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 147, 151, และ 157 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกคนละ 5 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 5 ถึงที่ 10 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 5 ถึงที่ 10 ตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 5 และที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 147, 151, 157 และ 162 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกคนละ 5 ปี จำเลยที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 และที่ 10 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยอื่น ๆ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,86, 147, 151 และ 162 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พยานโจทก์เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 5 ถึงที่10 มีเจตนาทุจริตมาแต่แรกร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ทำบัญชีรายชื่อผู้รับจ้างและหลักฐานการเบิกจ่ายเงินค่าแรงและค่าควบคุมงาน และกรอกข้อความรับรองชื่อผู้รับจ้างขุดดินและผู้ควบคุมงานตามโครงการต่อเติมสร้างทำนบดินตำบลหนองผือเป็นเท็จ เบิกเงินจากทางราชการออกมามากกว่าจำนวนที่จะต้องจ่ายให้แก่ราษฎรที่ทำงานและผู้ควบคุมงาน แล้วเบียดบังเอาเป็นของตนและของผู้อื่น เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและโดยทุจริต จำเลยที่ 5 ถึงที่ 10 ต้องมีความผิด จำเลยที่ 5 และที่ 6เป็นผู้ใหญ่บ้านมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้ว ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสภาตำบลหนองผือโดยตำแหน่ง ซึ่งต้องรับผิดชอบร่วมกันกับคณะกรรมการสภาตำบลในการดำเนินการตามโครงการสร้างงานในชนบทตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยโครงการสร้างงานในชนบท พ.ศ. 2524ข้อ 24 การที่จำเลยที่ 5 และที่ 6 ปฏิบัติหน้าที่ไปตามระเบียบดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 5และที่ 6 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาตำบลหนองผือ ที่ราษฎรเลือกตั้งขึ้นมาตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 326 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ไม่ได้ระบุให้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา แม้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยโครงการสร้างงานในชนบท พ.ศ. 2524 จะกำหนดให้ต้องรับผิดชอบร่วมกันกับคณะกรรมการสภาตำบลก็หาทำให้จำเลยที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายไม่ สำหรับจำเลยที่ 10 เป็นราษฎรเป็นกรรมการควบคุมงานต่อเติมทำนบที่สภาตำบลหนองผือแต่งตั้งกันขึ้นมาเองไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 5 และที่ 6 เป็นเจ้าพนักงานร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และฟังว่าจำเลยที่ 7 และที่ 10 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยอื่นชอบแล้วส่วนโทษที่ศาลอุทธรณ์ลงแก่จำเลยทั้งหกก็เป็นโทษขั้นต่ำตามกฎหมายอยู่แล้ว และโทษที่ลงก็จำคุกเกิน2 ปี รอการลงโทษให้ไม่ได้ ฎีกาจำเลยที่ 5 ถึงที่ 10 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share