แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกบังคับหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายชาวมาเลเซียเพื่อเรียกค่าไถ่ และบังคับให้ผู้เสียหายขับรถไปส่งยังชายแดนประเทศไทยซึ่งน่าจะได้ควบคุมเข้าไปในเขตแดนไทยด้วย เพราะภูมิลำเนาของจำเลยกับพวกอยู่ในราชอาณาจักรจึงเป็นความผิดต่อเนื่องทั้งในและนอกราชอาณาจักร พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอควนโดน จังหวัดสตูล ซึ่งจับจำเลย จึงมีอำนาจสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลยได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309, 310, 313 ลงโทษตามมาตรา 313 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 10 ปี ยกฟ้องความผิดฐานปล้นทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางพิจารณาได้ความจากพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2524 เวลาประมาณ6 นาฬิกามีคนร้ายซึ่งเป็นคนไทยรวม 5 คนร่วมกันมีอาวุธปืนสั้นและยาวเป็นอาวุธจี้บังคับขู่เข็ญขืนใจนายตันหยกวังและนายตันเกียกีขึ้นรถยนต์บรรทุกหินกับบังคับให้นายกะเล็ม เป็นฮัสซัน ขับตามหลังรถบรรทุกซุงเข้าป่าห่างจากบ้านพักนายกะเล็มประมาณ 1 ไมล์ และให้หยุดใกล้โรงเลื่อยจักร และคนร้ายบังคับให้คนขับรถยนต์บรรทุกซุงอีกคันหนึ่งตามไปด้วย ซึ่งมีนายปารูมา กะรูปายา อยู่ในรถยนต์นั้น เมื่อไปห่างจากโรงเลื่อยจักร 2-3 ไมล์ คนร้ายให้หยุดรถและพูดขอเงินจากผู้ที่ถูกควบคุมจำนวน 200,000 เหรียญมาเลเซีย แต่ได้มีการต่อรองกันเหลือจำนวน 60,000 เหรียญ คนร้ายยอมปล่อยนายกะเล็มและคนขับรถยนต์บรรทุกซุง2 คัน กับคนงานระเบิดหินอีก 1 คน เพื่อไปนำเงินดังกล่าวมาเป็นค่าไถ่ตัวส่วนคนร้ายได้คุมตัวนายปารูมากับพวกที่เหลืออยู่ในป่า นายกะเล็มนำความไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจมาเลเซียที่เมืองกางา รัฐเปอร์ลิส เจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวออกสืบจับคนร้าย ครั้นเวลาประมาณ 15 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจมาจวนจะถึงที่คนร้ายอยู่และยิงปืนขึ้น คนร้ายจึงหลบหนีไป ส่วนนายปารูมากับพวกวิ่งไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ วันรุ่งขึ้นจากเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจไทยจับจำเลยได้พร้อมกับอาวุธปืนลูกซองสั้น 1 กระบอกมีทะเบียนกระสุนปืนลูกซองขนาด 12 จำนวน 3 นัด เงินเหรียญมาเลเซียจำนวน250 เหรียญเป็นของกลาง โจทก์นำสืบว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งในห้าคนที่หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายในเขตประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย และนำเข้าในราชอาณาจักรด้วย จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าร่วมกับพวกจับคนมาเลเซียเพื่อเรียกค่าไถ่ นายกะเล็มและนายปารูมาชี้จำเลยว่าเป็นคนร้ายรายนี้ จำเลยนำสืบว่าในวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยกับนายยาหยาเจ๊ะหมิ่น นำกระบือไปขายในรัฐเปอร์ลิสได้เงินมา 250 เหรียญมาเลเซียวันรุ่งขึ้นถูกเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอควนโดน จังหวัดสตูลจับและทำร้ายร่างกายจึงต้องให้การรับสารภาพ ปัญหาในชั้นฎีกาว่าจำเลยร่วมกระทำความผิด ฐานขู่เข็ญหน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายเพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่ตามฟ้องหรือไม่นั้น ได้ความจากคำของนายกะเล็ม เป็นฮัสซัน กับนายปารูมากะรูปายา พยานโจทก์ว่า จำเลยกับพวกมีอาวุธปืนคุมพยานกับพวกตั้งแต่เวลาประมาณ 6 นาฬิกา และนั่งรถยนต์ไปด้วยกันเป็นระยะทางประมาณ3-4 ไมล์ ระหว่างทางก็ได้หยุดรถยนต์พบเห็นกันครั้งสุดท้ายจำเลยกับพวกยังได้มาเจรจาขอเงินจากพยานกับพวกจำนวน 200,000 เหรียญมาเลเซียพยานกับพวกต่อรองจำนวนเงินเหลือเพียง 60,000 เหรียญมาเลเซีย จำเลยกับพวกปล่อยนายกะเล็มกับพวกไปเอาเงินมาให้จำเลยกับพวกเมื่อเวลาประมาณ 8 นาฬิกา ส่วนนายปารูมานั้นถูกจำเลยกับพวกคุมอยู่ในป่าต่อไปอีกจนถึงเวลาประมาณ 15 นาฬิกา จำเลยกับพวกจึงได้หนีไปเพราะเจ้าพนักงานตำรวจมาเลเซียยิงปืนสกัดจับคนร้ายรายนี้ พยานทั้งสองของโจทก์ต่างยืนยันว่าจำจำเลยได้ เมื่อเจ้าพนักงานจับจำเลยได้นายกะเล็มและนายปารูมาพยานของโจทก์ได้ชี้ตัวจำเลยถูกต้องตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 และจ่าสิบตำรวจฉาดกร สุทธิพันธ์ พยานโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2524พยานกับพวกจับจำเลยได้พร้อมกับอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนกับเงินเหรียญมาเลเซียของกลาง โดยกล่าวหาว่าจำเลยกับพวกหน่วงเหนี่ยวกักขังชาวมาเลเซียเพื่อเรียกค่าไถ่ จำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.3 และร้อยตำรวจตรีเสริมรัฐ เลิศสุรวัฒน์ พยานโจทก์ว่าในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพว่า จำเลยร่วมกับพวกหน่วงเหนี่ยวกักขังนายกะเล็มกับพวกเพื่อเรียกค่าไถ่ตามคำให้การของจำเลยชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.4 ดังนี้ เห็นว่านายกะเล็มและนายปารูมาประจักษ์พยานโจทก์เป็นชาวต่างประเทศไม่รู้จักกับจำเลยมาก่อนน นายกะเล็มถูกจำเลยกับพวกคุมตัวอยู่เป็นเวลา 2 ชั่วโมง และนายปารูมาถูกจำเลยคุมตัวอยู่ถึง9 ชั่วโมง ทั้งยังได้อยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้นายกะเล็มและนายปารูมาก็ชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้อง จึงเชื่อได้ว่านายกะเล็มและนายปารูมาจำจำเลยได้ว่าเป็นคนร้ายไม่ผิดตัว นอกจากนี้ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยรับว่าได้ร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนบังคับหน่วงเหนี่ยวกักขังนายกะเล็มและนายปารูมากับพวกเพื่อเรียกค่าไถ่อีกด้วย และปรากฏว่าพยานโจทก์ไม่รู้จักกับจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ประกอบด้วยเหตุผลมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานขู่เข็ญหน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายเพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่ดังโจทก์ฟ้อง
ที่จำเลยฎีกาว่า ความผิดคดีนี้มิได้เกิดในราชอาณาจักร พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนดำเนินคดีนี้ ปรากฏว่าจำเลยมิได้ปฏิเสธฟ้องของโจทก์ในเรื่องอำนาจสอบสวนของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอควนโดน จังหวัดสตูล และหนังสือที่ ม.ท. 0002/5044 ของอธิบดีกรมอัยการเรื่องขออนุมัติทำการสอบสวนความผิดนอกราชอาณาจักรตามเอกสารหมาย จ.5 ก็ปรากฏชัดว่า จำเลยกับพวกกระทำผิดต่อเนื่องกันและได้กระทำลงทั้งในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย อันถือได้ว่าความผิดในคดีนี้ส่วนหนึ่งได้กระทำในราชอาณาจักรด้วย ประกอบกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.4 ก็ว่าจำเลยกับพวกได้บังคับให้ผู้เสียหายขับรถยนต์ไปส่งยังชายแดนประเทศไทยซึ่งน่าจะได้ควบคุมผู้เสียหายเข้าไปในเขตแดนไทยด้วยเพราะภูมิลำเนาของจำเลยกับพวกอยู่ในราชอาณาจักรโดยประสงค์จะเป็นการสะดวกในการหลบหนีเมื่อถูกติดตามจับกุม เห็นว่าการกระทำผิดของจำเลยกับพวกเป็นความผิดต่อเนื่องทั้งในราชอาณาจักรและนอกราชอาณาจักร ดังนั้นพนักงานสอบสวนคดีนี้จึงมีอำนาจสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลยได้ ที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์เบิกความแตกต่างและขัดกันนั้น เห็นว่าแม้พยานโจทก์จะเบิกความแตกต่างและขัดกันบ้างก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์เสียไปจนรับฟังไม่ได้ ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยถูกซ้อมจึงต้องรับสารภาพว่ากระทำผิดตามที่กล่าวหานั้น เห็นว่าจำเลยกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน จึงรับฟังไม่ได้เช่นเดียวกันพยานจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้”
พิพากษายืน