คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1577/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้ เมื่อจำเลยขอรับเช็คคืน แล้วทำสัญญากู้ให้ไว้กับโจทก์ จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ จำเลยต้องผูกพันรับผิดตามสัญญากู้ที่ทำขึ้นใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 มิได้บัญญัติมิให้ศาลยอมรับฟังพยานที่เป็นพี่น้องกับคู่ความฝ่ายที่อ้าง โจทก์มี บ. น้องของโจทก์ซึ่งลงชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เบิกความยืนยันตรงกับโจทก์ว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ จำนวน 170,000 บาท ส่วนจำเลยเองมีแต่เพียงตัวจำเลยเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานอื่นมาสนับสนุนว่ารับสินค้าของโจทก์ไปขาย แล้วโจทก์ให้จำเลยลงชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ ประกอบกับจำเลยรับราชการเป็นครูการที่จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญากู้โดยไม่มีการกรอกข้อความนั้น ผิดวิสัยของบุคคลที่มีความรู้ทั่ว ๆ ไปคำพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักและเหตุผลให้รับฟังได้ดีกว่าพยานจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยรับสินค้าจากโจทก์ไปขายและค้างชำระค่าสินค้าเป็นเงิน 170,000 บาท ต่อมาวันที่ 10มกราคม 2527 โจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญาแปลงหนี้ค่าสินค้าดังกล่าวเป็นสัญญากู้ยืมเงิน 170,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีและกำหนดชำระเงินภายในวันที่ 10 มกราคม 2528 หนี้ถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 238,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย จากต้นเงิน170,000 บาท
จำเลยให้การต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 170,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงจึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์ จำนวน 170,000 บาท
จำเลยฎีกาต่อไปว่า หนี้สินจำนวน 170,000 บาท มิใช่เป็นของจำเลย แต่เป็นหนี้สินของนายสมจิตต์ จำเลยมิได้ตกลงแปลงหนี้กับโจทก์นั้น ข้อเท็จจริงจึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าเช็คที่จำเลยได้สั่งจ่ายชำระค่าสินค้าของโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้ เมื่อจำเลยขอรับเช็คคืนแล้วทำสัญญากู้เงินให้ไว้กับโจทก์ จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ จำเลยต้องผูกพันรับผิดตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.3 ที่ทำขึ้นใหม่
จำเลยฎีกาต่อไปอีกว่า สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.3 ปลอมโดยจำเลยมิได้รู้เห็นและไม่ยินยอมในการที่โจทก์กรอกข้อความจำนวนเงินขึ้นในสัญญากู้เงินภายหลังนั้น ข้อนี้โจทก์มีนายบวรพยานในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.3 เบิกความยืนยันตรงกับโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2527 จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์จำนวน 170,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.3 ส่วนจำเลยเพียงแต่เบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานอื่นมาสนับสนุนว่า จำเลยรับสินค้าโจทก์ไปขาย โจทก์จะให้จำเลยลงลายมือชื่อผู้กู้เงินในแบบพิมพ์สัญญากู้เงินโดยไม่ได้กรอกข้อความ ประกอบกับจำเลยรับราชการเป็นครู การที่จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินโดยไม่มีการกรอกข้อความนั้น เป็นการผิดวิสัยของบุคคลที่มีความรู้ทั่ว ๆไปพยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักและเหตุผลให้รับฟังได้ คำพยานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่า เชื่อว่าสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.3มีข้อความครบถ้วนอยู่แล้ว โจทก์ไม่ได้ปลอมเอกสาร
จำเลยฎีกาเป็นประการสุดท้ายว่า ไม่ควรรับฟังคำเบิกความของนายบวรเพราะเป็นน้องชายโจทก์นั้นเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 มิได้บัญญัติให้ศาลยอมรับฟังพยานที่เป็นพี่น้องกับคู่ความฝ่ายที่อ้างทั้งเชื่อได้ว่านายบวรได้เบิกความไปตามความเป็นจริงที่ได้รู้เห็นและไม่มีพิรุธแต่อย่างใด จึงรับฟังได้”
พิพากษายืน

Share