คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1572/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลแรงงานมีคำสั่งล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานจะต้องใช้ดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของคู่ความหรือเป็นข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยในตอนพิพากษาคดีทั้งสิ้น คำสั่งของศาลแรงงานที่สั่งในคำร้องทั้งของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นก่อนที่ศาลแรงงานจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีอันจะทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์อุทธรณ์คำสั่งนั้นก่อนศาลแรงงานมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ไม่ให้ความเคารพต่อผู้บังคับบัญชาไม่ให้ความร่วมมือและประสานงานกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลที่ติดต่อด้วย จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์โดยมีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 มิใช่นายจ้างโดยตรงที่จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลแรงงานกลาง โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางเป็นจำนวนมาก สำหรับคำร้องซึ่งเป็นปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีนี้มีจำนวน 6 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ 20 ตุลาคม 2542 (สารบาญสำนวนตอนที่ 2 อันดับที่ 16) ความว่า จำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับสิทธิได้รับทุนอุดหนุนการแต่งตำราจากทบวงมหาวิทยาลัย ศาลแรงงานกลางต้องสั่งว่าโจทก์ไม่ต้องสืบพยาน เพราะถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับตามคำฟ้องของโจทก์แล้ว ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในคำร้องของโจทก์ในวันเดียวกันว่า “สำเนาให้อีกฝ่ายรวม” ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2542 (สารบาญสำนวนตอนที่ 2 อันดับที่ 15) ความว่า จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติมตัดทอน แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารเพื่อหักล้างพยานเอกสารของโจทก์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 (2), 94 (ข) และ 95 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้ ขอให้ไม่รับฟังพยานบุคคลของจำเลย ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในคำร้องของโจทก์ในวันเดียวกันว่า “สำเนาให้อีกฝ่าย รวม” ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2542 (สารบาญสำนวนตอนที่ 2 อันดับที่ 21) ความว่า การที่ศาลแรงงานกลางไม่อนุญาตให้โจทก์ซักค้านพยานจำเลยที่เบิกความในประเด็นหนังสือร้องเรียนว่าโจทก์ปลอมแปลงแก้ไขลายมือชื่อโจทก์ที่แก้ระดับผลการสอบให้แก่นักศึกษา ทำให้โจทก์เสียเปรียบทางคดีเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีดังกล่าว ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในคำร้องของโจทก์ในวันเดียวกันว่า “สำเนาให้อีกฝ่าย รวม” ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 26 ตุลาคม 2542 (สารบาญสำนวนตอนที่ 2 อันดับ 28) ความว่า จำเลยทั้งสองลงชื่อรับสภาพหนี้เงินค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าสมนาคุณการแต่งตำราเป็นเงิน 456,000 บาท จำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ และศาลแรงงานกลางได้สอบถามคู่ความแล้ว จำเลยทั้งสองปฏิเสธข้อเท็จจริงโดยไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้ง ศาลแรงงานกลางต้องสั่งให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์เพราะถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 100 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในคำร้องของโจทก์ในวันเดียวกันว่า “ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับค่าเสียหายตามที่โจทก์อ้างในคำร้อง จึงไม่อาจมีคำสั่งให้ตามคำร้องของโจทก์ ให้ยกคำร้อง” ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2542 (สารบาญสำนวนตอนที่ 2 อันดับ 33) ความว่า โจทก์ยื่นคำร้องและคำคัดค้านต่อศาลแรงงานกลางหลายฉบับ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งตามคำร้องของโจทก์ไม่ครบถ้วน และการที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในคำร้องของโจทก์บางฉบับเพียงว่า “รวม” เป็นการออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในคำร้องของโจทก์ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2542 ว่า “สำเนาให้อีกฝ่าย รวม” และฉบับสุดท้ายลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2542 (สารบาญสำนวนตอนที่ 2 อันดับ 39) ความว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า “สำเนาให้อีกฝ่ายสั่งในคำร้องของโจทก์ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2542 แล้ว” โดยศาลแรงงานกลางมีคำสั่งตามคำร้องดังกล่าวว่า “รอไว้วินิจฉัยในคำพิพากษา”
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งทั้งหกฉบับต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อที่โจทก์อุทธรณ์มาทั้งหกฉบับนั้น ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางจะต้องใช้ดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของคู่ความหรือเป็นข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยในตอนพิพากษาคดีทั้งสิ้น คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่สั่งในคำร้องทั้งหกฉบับของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นก่อนที่ศาลแรงงานกลางจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีอันจะทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องล้วนเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์อุทธรณ์คำสั่งทั้งหกนั้นก่อนศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกอุทธรณ์ทั้งหกฉบับของโจทก์.

Share