คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1571/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บรรยายฟ้องคดีลักทรัพย์ว่า จำเลยได้บังอาจร่วมกับ ม.ใช้ค้อนงัดเอาคิ้วทองเหลืองของพื้นตึกของผู้เสียหายไป แม้จะมิได้ระบุคำว่า “ลัก” และคำว่า “โดยทุจริต” ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เสียไป เพราะบรรยายไม่ครบองค์ประกอบความผิด เพราะคำว่า”บังอาจ” กับคำว่า”เอาไป” ประกอบกันก็บ่งอยู่แล้วว่ากระทำโดยทุจริตอยู่ในตัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกับพวกใช้ค้อนงัดเอาคิ้วทองเหลือของพื้นตึกแถวยาวประมาณ 13 เซนติเมตร กว้างประมาณ 3 เซนติเมตร ราคาชิ้นละ 25 บาทของผู้เสียหายไป จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกฐานลักทรัพย์พ้นโทษยังไม่เกิน 3 ปี กลับมากระทำผิดคดีนี้ ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7), 93

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับในข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษว่าจริงตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7) จำคุก 2 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93 อีกกึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ แล้วบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายของจำเลยว่า “จำเลยได้บังอาจร่วมกับนายมงคล เกลียวเจริญ จำเลยที่ 2 ในคดีอาญาแดงที่ 10112/2517 ของศาลอาญา ใช้ค้อนงัดเอาคิ้วทองเหลืองของพื้นตึกแถวยาวประมาณ 13 เซนติเมตร กว้างประมาณ 3 เซนติเมตรราคาชิ้นละ 250 บาทของนางมาลัย ปรีชานิลชัยศรี ของนายสุรชัย สมิตาสินและของนายเอกนันท์ สุขเลิศกมล ผู้เสียหายไปคนละ 1 ชิ้น” แม้ฟ้องของโจทก์จะมิได้ระบุคำว่า “ลัก” และคำว่า “โดยทุจริต” ตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมา ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เสียไปเพราะบรรยายไม่ครบองค์ประกอบความผิดไม่ เพราะโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ว่า จำเลยบังอาจเอาไป แล้วระบุตัวทรัพย์ว่าคิ้วทองเหลือซึ่งเป็นของผู้อื่นคือ นางมาลัย ปรีชานิลชัยศรี กับพวกคำว่า “บังอาจ” กับคำว่า “เอาไป” ประกอบกันก็บ่งอยู่แล้วว่ากระทำโดยทุจริตอยู่ในตัว คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงครบองค์ความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334

พิพากษายืน

Share