คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 มิได้ให้สิทธิแก่ผู้ร้องที่จะขอใช้สิทธิจำนองบังคับเอาจากทรัพย์จำนองเกินกว่าจำนวนเงินจำนองอันเป็นการกระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้อื่นที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์จำนองส่วนที่อยู่นอกเหนือจากความรับผิดตามสัญญาจำนองนั้น ดังนั้นผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองในที่ดินแปลงอื่นจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินจำนองอีกแปลงหนึ่ง ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดมาก่อนเจ้าหนี้อื่นในฐานะเจ้าหนี้จำนองหาได้ไม่ ผู้ร้องฟ้องบังคับจำนองจนเป็นหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองจากทรัพย์จำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการยื่นคำร้องตามจำนวนทุนทรัพย์ คงเสียเพียงค่าคำร้อง 20 บาทการที่ศาลล่างมีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มอย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงไม่ถูกต้อง แม้ผู้ร้องจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาแก่ผู้ร้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทำการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 ของนางจิระพาซึ่งเป็นหนี้กองทรัพย์สินของจำเลยเด็ดขาดตามหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้น เพื่อทำการขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ค่าหุ้นที่นางจิระพายังค้างชำระแก่จำเลย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้รับจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 47398 ของนางจิระพา ทั้งยังได้ฟ้องบังคับจำนอง และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้นางจิระพาชำระเงินจำนวน 4,135,569.84 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ18.5 ต่อปี ในต้นเงิน 2,500,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 47398 และที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้ร้อง หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของนางจิระพาออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้ผู้ร้องจนกว่าจะครบและให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทน โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาทซึ่งค่าธรรมเนียมศาลที่ผู้ร้องได้เสียไปในการดำเนินคดีดังกล่าวเป็นเงิน 108,705 บาท แต่นางจิระพาไม่ชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้รายอื่นจำนวน 5,676,055.66 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จากต้นเงิน 2,500,000 บาทนับถัดจากวันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องชอบที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้บุริมสิทธิจากที่ดินเฉพาะโฉนดเลขที่ 26695 เพียงแปลงเดียว และจะมีสิทธิรับชำระหนี้ก่อนไม่เกินวงเงินที่จำนอง คือไม่เกิน 1,900,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับถัดจากวันยื่นคำร้องนี้ถึงวันขายทอดตลาดทรัพย์เท่านั้น ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 47398 ซึ่งได้จำนองไว้ในวงเงิน 600,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ18.5 ต่อปี นั้น มิได้ถูกยึดไว้ในคดีนี้ผู้ร้องจึงขอรวมกันมาเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นไม่ได้ ฉะนั้นส่วนที่ขอเกินมาศาลชอบที่จะสั่งให้ยกเสีย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนองเต็มจำนวนเงินที่จำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 289 เป็นจำนวนเงิน 4,135,569.84 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ในต้นเงิน 2,500,000 บาท นับแต่วันที่23 กรกฎาคม 2530 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนตามคำร้องจากที่ดินโฉนดที่ยึดขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้อื่นนั้น เห็นว่า ผู้ร้องรับจำนองที่ดิน 2 แปลง โฉนดเลขที่ 47398 และ 26695 จากนางจิระพาเพื่อประกันหนี้เงินกู้ของนางจิระพาเพียงรายเดียว โดยระบุจำนวนเงินจำนองสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 47398 เป็นเงิน600,000 บาท และโฉนดเลขที่ 26695 เป็นเงิน 1,900,000 บาท เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 เพียงแปลงเดียวเพื่อบังคับชำระหนี้ ผู้ร้องก็ชอบที่จะขอรับชำระหนี้จำนองจากที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 เพียงเท่าจำนวนเงินจำนองของที่ดินดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนองตามส่วนเฉลี่ยของจำนวนเงินจำนองของที่ดินแปลงดังกล่าว แม้ผู้ร้องจะฟ้องบังคับจำนองที่ดินทั้งสองแปลงแล้ว และอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา สามารถบังคับชำระหนี้จากที่ดินทั้งสองแปลงที่รับจำนองไว้ก็ตาม แต่มาตรา 289 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็มิได้ให้สิทธิแก่ผู้ร้องที่จะขอใช้สิทธิจำนองบังคับเอาจากทรัพย์จำนองเกินกว่าจำนวนเงินจำนองอันเป็นการกระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้อื่นที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์จำนองส่วนที่อยู่นอกเหนือจากความรับผิดตามสัญญาจำนองนั้น เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 ได้กำหนดจำนวนเงินจำนองไว้1,900,000 บาท และมีดอกเบี้ยอันเกิดจากหนี้เงินกู้ทั้งหมดของนางจิระพาจนถึงวันยื่นคำร้องจำนวน 3,062,350.66 บาท กับมีค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนองที่ดินทั้งสองแปลงเป็นจำนวน108,705 บาท ผู้ร้องจึงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 เป็นต้นเงินจำนอง 1,900,000 บาท ส่วนเฉลี่ยของดอกเบี้ยจนถึงวันยื่นคำร้องเป็นเงิน 2,327,386.50 บาท กับส่วนเฉลี่ยของค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนองเป็นเงิน82,615.80 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,310,002.30 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,900,000 บาทนับถัดจากวันยื่นคำร้องจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ ที่ศาลล่างให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้จำนองเต็มจำนวนตามคำร้องศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
อนึ่ง ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำนองที่ได้ฟ้องบังคับจำนองจนเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้ขอรับชำระหนี้จำนองจากทรัพย์จำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 289 ผู้ร้องจึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการยื่นคำร้องตามจำนวนทุนทรัพย์ แต่เสียเพียงค่าคำร้อง 20 บาท การที่ศาลล่างมีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มจำนวน 56,561 บาท อย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงไม่ถูกต้อง แม้ผู้ร้องจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาแก่ผู้ร้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากที่ดินโฉนดเลขที่ 26695 ก่อนเจ้าหนี้อื่นเป็นจำนวนเงิน 4,310,002.30 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน1,900,000 บาท นับแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2530 จนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ ส่วนที่ขอเกินมาให้ยกค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ ให้คืนเงินค่าขึ้นศาลจำนวน 56,561 บาท แก่ผู้ร้อง

Share