แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ได้มอบให้จำเลยที่ 1 ครอบครองดูแลแทน จำเลยที่ 1 แอบไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทแล้วโอนขายให้จำเลยที่ 2 ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้น ดังนี้ แม้คำฟ้องจะมิได้บรรยายว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต แต่ถ้าได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นแต่เพียงครอบครองดูแลแทน ได้ไปขอออก น.ส.3 ลงชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโดยไม่ชอบจริงตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ก็ไม่กลายเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และจำเลยที่ 2 ผู้รับโอนก็ไม่มีสิทธิดีไปกว่าจำเลยที่ 1 แม้จะได้รับโอนที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จะอ้างความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 หาได้ไม่ คดีจึงจำเป็นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 เพียงแต่ยึดถืออยู่ในฐานะผู้แทนโจทก์จริงดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องหรือไม่ ไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินนา ๑ แปลง เนื้อที่ประมาณ ๑๙ ไร่ โจทก์ได้ที่นาพิพาทนี้มาโดยนายหม่านบิดาโจทก์ยกให้โจทก์เมื่อประมาณ ๒๐ ปีเศษมาแล้ว ต่อมาโจทก์ไปประกอบอาชีพในต่างจังหวัด จึงมอบให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นน้องสาวครอบครองดูแลแทน ต่อมาเมื่อต้นปีนี้ (พ.ศ.๒๕๒๐) โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๑ แอบไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) สำหรับที่พิพาทเลขที่ ๒๑๘๑ หน้า ๓๑ ใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของ โดยโจทก์ไม่เคยทราบมาก่อน จึงไม่มีโอกาสโต้แย้งคัดค้าน เมื่อทราบแล้วโจทก์ได้เรียกจำเลยที่ ๑ มาสอบถาม จำเลยที่ ๑ โต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ และอ้างว่าได้ขายให้จำเลยที่ ๒ แล้ว หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองร่วมกันโต้แย้งไม่ให้โจทก์ครอบครองที่พิพาท ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๒๑๘๑
จำเลยทั้งสองให้การว่า เมื่อมารดาของโจทก์และจำเลยที่ ๑ ถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้ช่วยนายหม่านบิดาทำนาแปลงพิพาทเรื่อยมา โจทก์เป็นพี่ชายจำเลยที่ ๑ ได้ไปประกอบอาชีพในประเทศลาวตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๒ ตลอดเวลาที่ประกอบอาชีพในต่างประเทศ โจทก์ไม่เคยเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่นาพิพาท จำเลยที่ ๑ ไม่เคยครอบครองที่นาพิพาทแทนโจทก์ แต่ครอบครองเพื่อตนเอง เมื่อประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ ทางราชการได้ทำการถ่ายภาพที่นาพิพาท ทางอากาศเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่เจ้าของ จำเลยที่ ๑ ได้แจ้งว่าที่นาพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ เพียงผู้เดียว ไม่มีผู้ใดโต้แย้ง ทางราชการจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๑๙ จนเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ จึงขายที่นาพิพาทให้จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยที่ ๑ โดยสุจริต โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนโดยชอบด้วยกฎหมาย แล้วได้ครอบครองที่นาพิพาทเพื่อจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ จึงได้สิทธิครอบครองตั้งแต่นั้นมา ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว มีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าคำฟ้องมิได้บรรยายว่า จำเลยที่ ๒ ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ ๑ โดยไม่สุจริตอย่างไร ต้องถือว่าจำเลยที่ ๒ ซื้อโดยสุจริต การที่จำเลยที่ ๒ ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตและครอบครองที่พิพาทมาตามสัญญาซื้อขาย แม้ว่าจำเลยที่ ๑ จะ + สิทธิกดในที่พิพาท ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ ๒ เข้ายึดถือที่พิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนย่อมได้สิทธิครอบครองแล้ว พิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ในอันที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ เป็นคดีใหม่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ ครอบครองดูแลที่พิพาทเป็นการครอบครองเพื่อตนเองหรือครอบครองแทนโจทก์นั้นยังโต้เถียงกันอยู่ ควรจะได้ฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความก่อน พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
วินิจฉัยว่า แม้คำฟ้องจะมิได้บรรยายว่า จำเลยที่ ๒ ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๑ โดยไม่สุจริต แต่ถ้าได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ ๑ เป็นแต่เพียงผู้ครอบครองดูแลแทน ได้ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยลงชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของโดยไม่ชอบจริงตามฟ้อง จำเลยที่ ๑ ก็ไม่กลายเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และจำเลยที่ ๒ ผู้รับโอนก็ไม่มีสิทธิดีไปกว่าจำเลยที่ ๑ แม้จะได้รับโอนที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จะอ้างความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๐ ดังที่จำเลยฎีกาหาได้ไม่ คดีจำเป็นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ ๑ เพียงแต่ยึดถืออยู่ในฐานะผู้แทนโจทก์จริงดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องหรือไม่
พิพากษายืน.