แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350นั้น ลูกหนี้เดิมจะต้องมีตัวอยู่และจะต้องกระทำโดยไม่ขืนใจลูกหนี้เดิม ถ้าลูกหนี้เดิมตายไปเสียแล้ว กรณีก็ไม่ใช่การแปลงหนี้
เมื่อลูกหนี้เงินกู้ตายไปแล้ว จำเลยได้ทำสัญญาให้โจทก็ไว้ในแบบพิมพ์สัญญาค้ำประกันให้ไว้ต่อเจ้าหนี้ว่า ตามที่ลูกหนี้ได้กู้เงินไปนั้น ลูกหนี้ตายไปแล้ว จำเลยยอมใช้ต้นเงินดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้ ดังนี้ เป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่จะค้ำประกันหนี้
การที่จำเลยได้กำหนดเวลาชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาซึ่งเกินกว่า 1 ปีนับแต่วันที่ลูกหนี้ตาย เป็นการสละข้อต่อสู้ในเรื่องอายุความมรดกซึ่งทายาทจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ ฉะนั้น แม้เจ้าหนี้จะหมดสิทธิเรียกร้องจากทายาทเพราะคดีขาดอายุความแล้ว ก็หาทำให้จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้หรือหลุดพ้นความรับผิดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 ด้วยไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นางหมิ่งมารดา จำเลยที่ ๑ และเป็นภริยาของจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป มอบที่นาให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย เดือนกันยายน ๒๕๐๑ นางหมิ่งตาย จำเลยทั้งสองเป็นผู้รับมรดก ครั้นวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๑ จำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันรับรองใช้หนี้เงินกู้รายนี้ให้โจทก์และจะชำระภายในวันที่ ๑เมษายน ๒๕๐๓ มาบัดนี้ จำเลยที่ ๑ ได้ฟ้องเรียกที่นาคืน ศาลพิพากษาห้ามโจทก์เกี่ยวข้องในที่นาดังกล่าว จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ไม่ได้ทำนา ขอให้บังคับให้จำเลยใช้ต้นเงินกู้และค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า นางหมิ่งมิได้กู้เงินโจทก์ สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันปลอม นาที่โจทก์อ้างว่าทำต่างดอกเบี้ยนั้น ความจริงโจทก์ก็เช่าจากนางหมิ่ง นานี้ตกได้แก่จำเลยที่ ๑ ผู้เดียว จำเลยที่ ๒ ไม่ได้รับมรดกรายนี้ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ๑ ปี เพราะมิได้ฟ้องภายใน ๑ ปี นับแต่เจ้ามรดกตายและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นฟังว่านางหมิ่งทำสัญญากู้เงินโจทก์และมอบนาให้ทำกินต่างดอกเบี้ยจริง จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับมรดกนางหมิ่งแต่ไม่เคยรับสภาพหนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องเกิน ๑ ปี คดีจึงขาดอายุความ ส่วนจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันนั้นเมื่อจำเลยที่ ๑ หลุดพ้นจากหนี้รายนี้ก็ย่อมหลุดพ้นไปด้วย ค่าเสียหายโจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียก พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันเมื่อนางหมิ่งตายแล้ว สัญญานี้หาใช่สัญญาค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๐ ไม่ แต่เป็นสัญญาแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามมาตรา ๓๕๐ จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดตามสัญญานี้ และเมื่อเป็นการแปลงหนี้แล้วหนี้เดิมย่อมระงับไป โจทก์เรียกร้องจากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นทายาทอีกไม่ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยเรื่องอายุความต่อไป ส่วนเรื่องค่าเสียหายนั้น โจทก์ก็เรียกไม่ได้ พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินกู้ให้โจทก์
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นางหมิ่งได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป เมื่อนางหมิ่งตายแล้วจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาให้โจทก์ไว้ในแบบพิมพ์สัญญาค้ำประกันด้านหลังสัญญากู้รายนี้มีความว่า ขอทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้ต่อโจทก์ว่า ตามที่นางหมิ่งได้กู้เงินโจทก์ไปนั้น นางหมิ่งตายไปแล้ว จำเลยที่ ๒ ยอมใช้ต้นเงินดอกเบี้ยให้โจทก์ภายในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๐๓ ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ ๒ มิได้เป็นทายาทหรือผู้รับมรดกของนางหมิ่ง ดังนี้ เป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๒ ที่จะค้ำประกันหนี้รายนี้ เท่ากับค้ำประกันว่าถ้าเจ้าหนี้มิได้รับใช้หนี้จากกองมรดกหรือจากทายาทของนางหมิ่งแล้ว จำเลยที่ ๒ ยินยอมชำระให้ ส่วนการแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๕๐ นั้น ลูกหนี้เดิมจะต้องมีตัวอยู่และจะต้องกระทำโดยไม่ขืนใจลูกหนี้เดิม เมื่อลูกหนี้เดิมตายไปเสียแล้ว กรณีจึงไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้
การที่จำเลยที่ ๒ กำหนดเวลาชำระหนี้ภายในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๐๓ ซึ่งเกินกว่า ๑ ปี นับแต่วันที่นางหมิ่งตาย เป็นการสละข้อต่อสู้ในเรื่องอายุความมรดกซึ่งทายาทจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ ฉะนั้น แม้เจ้าหนี้จะหมดสิทธิเรียกร้องจากทายาทเพราะคดีขาดอายุความแล้ว ก็หาทำให้จำเลยที่ ๒ ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้หรือหลุดพ้นจากความรับผิดไปตามมาตรา ๖๙๘ ด้วยไม่ พิพากษายืนในผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์