คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1566/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่ารักษาทรัพย์ (ที่ยึดไว้ในคดี) เป็นค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งศาลอาจจะพิจารณาสั่งให้ได้ตามที่เห็นสมควร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 161 ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดค่ารักษาทรัพย์ให้ผู้ร้องต่ำกว่าจำนวนที่ระบุในหนังสือสัญญารักษาทรัพย์จึงเป็นอำนาจที่จะกระทำได้ หาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เมื่อค่ารักษาทรัพย์เป็นค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ศาลอาจสั่งให้ได้ การที่ผู้ร้องไม่พอใจคำสั่งกำหนดค่ารักษาทรัพย์ของศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ต่อมาก็เป็นการฟ้องคดีต่อศาลอุทธรณ์ ให้กำหนดค่ารักษาทรัพย์เช่นเดียวกันหาใช่เรื่องเรียกร้องค่ารักษาทรัพย์ไม่ จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีนำยึดที่ดินและเรือนของจำเลยที่ ๒ เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ ในการยึดนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีโดยความเห็นชอบของโจทก์ได้มอบทรัพย์ดังกล่าวให้ผู้ร้องและนายวิรัติ ไชยา เป็นผู้รักษาทรัพย์ คิดค่ารักษาทรัพย์ให้วันละ ๑๐๐ บาท ปรากฏตามหนังสือสัญญารักษาทรัพย์ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๐ ผู้ร้องและนายวิรัติ ไชยา ทำการรักษาทรัพย์ตั้งแต่วันทำสัญญา
ต่อมาวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๒๒ โจทก์ยื่นคำแถลงว่าจำเลยติดต่อขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ อยู่ในระหว่างตกลงกัน ซึ่งจะต้องใช้เวลานานทำให้ค่ารักษาทรัพย์สูงมากโจทก์จึงขอเป็นผู้รักษาทรัพย์เอง โดยให้นายไพจิตร โกศัลวิตร ผู้จัดการธนาคารโจทก์สาขาอุบลราชธานีเป็นผู้รักษา โดยไม่คิดค่ารักษา ส่วนค่ารักษาทรัพย์ก่อนนั้นจำเลยจะเป็นผู้ชำระให้ผู้ร้องกับนายวิรัติ ไชยา เอง และจำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำแถลงว่าค่ารักษาทรัพย์ที่จำเลยจะต้องจ่ายสูงมาก ขอให้ศาลพิพากษาลดจำนวนลง
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เปลี่ยนผู้รักษาทรัพย์ได้ ส่วนเรื่องค่ารักษาทรัพย์ของผู้ร้องและนายวิรัติ ไชยา เห็นว่าจำเลยและครอบครัวพักอาศัยอยู่ในทรัพย์ที่ถูกยึดตลอดมาและมีส่วนช่วยเหลือในการดูแลรักษาทรัพย์ด้วย เป็นการแบ่งเบาภาระรักษาทรัพย์ของผู้รักษาทรัพย์คงมีคำสั่งกำหนดค่ารักษาทรัพย์ให้แก่ผู้ร้องและนายวิรัติ ไชยาผู้รักษาทรัพย์ทั้งสอง เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้นำเงินจำนวน๑๕,๐๐๐ บาท มาวางต่อศาลชั้นต้นและนายวิรัติ ไชยา ได้รับค่ารักษาทรัพย์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๗,๕๐๐ บาทไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องและนายวิรัติ ไชยา ทำการรักษาทรัพย์มา ๙๐๕ วันเป็นค่ารักษาทรัพย์ตามสัญญาเป็นเงิน ๙๐,๕๐๐ บาท เป็นส่วนของผู้ร้อง ๔๕,๒๕๐ บาทโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาจะต้องจ่ายค่ารักษาทรัพย์ตามข้อตกลงในสัญญา ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์จ่ายค่ารักษาทรัพย์เป็นเงิน ๔๕,๒๕๐ บาท หรือจ่ายในอัตราค่าแรงขั้นต่ำคือวันละ ๓๕ บาท เป็นเงิน ๓๒,๖๗๕ บาท
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีของผู้ร้องในชั้นอุทธรณ์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาเพียง ๒๐๐ บาท ขาดไป จึงให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลจากผู้ร้องเสียให้ครบก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นได้เรียกค่าขึ้นศาลจากผู้ร้องเพิ่มอีก ๕๕๗.๕๐ บาท ผู้ร้องชำระครบถ้วนแล้ว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ค่ารักษาทรัพย์เป็นค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งศาลอาจพิจารณาสั่งให้ได้ตามที่เห็นสมควร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจกำหนดค่ารักษาทรัพย์ให้ผู้ร้องต่ำกว่าจำนวนที่ระบุในหนังสือสัญญารักษาทรัพย์จึงเป็นอำนาจที่จะกระทำได้ หาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เมื่อค่ารักษาทรัพย์เป็นค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ศาลอาจสั่งให้ได้ การที่ผู้ร้องไม่พอใจคำสั่งกำหนดค่ารักษาทรัพย์ของศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ต่อมา ก็เป็นการฟ้องคดีต่อศาลอุทธรณ์ให้กำหนดค่ารักษาทรัพย์เช่นเดียวกัน หาใช่เรื่องเรียกร้องค่ารักษาทรัพย์ไม่ จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มา ๒๐๐ บาทชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มมาอีก โดยถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ต้องคืนค่าขึ้นศาลที่ผู้ร้องชำระเพิ่มรวมทั้งค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ผู้ร้องเสียเกินมาอีกแก่ผู้ร้องไป
พิพากษายืน แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินมาศาลละ๒๐๐ บาทแก่ผู้ร้อง

Share