คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1565/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาทนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 86 วรรคท้าย ซึ่งบทมาตราดังกล่าวนี้ศาลสามารถสั่งได้เองโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ แม้คู่ความจะมิได้ระบุพยานเพิ่มเติม ศาลก็สามารถรับฟังพยานหลักฐานที่มีการสืบเพิ่มเติมนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) ส่วนพยานหลักฐานนั้นจะมีน้ำหนักรับฟังได้เพียงใดเป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน หาใช่เรื่องนอกประเด็นนอกคำฟ้องไม่ แม้จำเลยและผู้ร้องสอดจะไม่ได้ลงชื่อรับรองแผนที่พิพาท แต่จำเลยและผู้ร้องสอดก็มิได้โต้แย้งว่าแผนที่ดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับระวางโฉนดที่ดินแต่อย่างไร ศาลจึงรับฟังแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินทำขึ้นดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเนื้อที่ 26 ไร่ จำเลยเข้าไปรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความและแก้ไขคำร้องกับฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายเสรี สุชาตะประคัลภ์ ซึ่งมีจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้ครอบครองที่ดินจำนวน 4 ไร่ ต่อมา โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายเสรี ก่อนยื่นคำร้อง ผู้ร้องสอดได้บอกกล่าวให้โจทก์และบริวารออกจากที่ดินพิพาท แต่โจทก์เพิกเฉย ทำให้ผู้ร้องสอดได้รับความเสียหายขอให้ยกฟ้องและขับไล่โจทก์พร้อมบริวารออกจากที่ดินพิพาท กับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) และรับฟ้องแย้งเฉพาะที่ดินเนื้อที่ 4 ไร่
โจทก์ไม่ยื่นคำให้การแก้คำร้องสอดและฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คู่ความดำเนินการทำแผนที่พิพาทโดยเจ้าพนักงานที่ดิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งมีที่ตั้งตามรูปแผนที่ครอบในระวางแผนที่ ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดเฉพาะส่วนที่โจทก์นำชี้ตามเส้นสีแดง แต่ไม่รวมถึงที่ดินเลขที่ 22 ยกคำร้องสอด
จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาในข้อกฎหมายของจำเลยและผู้ร้องสอดว่า การที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังแผนที่พิพาทฉบับลงวันที่ 3 เมษายน 2545 เป็นพยานหลักฐานในคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุแผนที่ดังกล่าวไว้เป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 แผนที่พิพาทแตกต่างกับแผนที่พิพาทโดยสังเขปเอกสารหมาย จ.1 ไม่ตรงกับคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง จึงเป็นเรื่องนอกประเด็น นอกคำฟ้อง ไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคท้าย และมาตรา 87 (2) มาปรับใช้ในคดีโดยให้เหตุผลว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมได้ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาทนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคท้าย ซึ่งบทมาตราดังกล่าวนี้ ศาลสามารถสั่งได้เองโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ แม้คู่ความจะมิได้ระบุพยานเพิ่มเติมศาลก็สามารถรับฟังพยานหลักฐานที่มีการสืบเพิ่มเติมนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2) ส่วนพยานหลักฐานนั้นจะมีน้ำหนักรับฟังได้เพียงใดเป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน หาใช่เรื่องนอกประเด็นนอกคำฟ้องไม่ สำหรับแผนที่พิพาทฉบับลงวันที่ 3 เมษายน 2545 นั้น แม้จำเลยและผู้ร้องสอดจะมิได้ลงชื่อรับรองแต่จำเลยและผู้ร้องสอดก็มิได้โต้แย้งว่าแผนที่ดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับระวางโฉนดที่ดินแต่อย่างไร ศาลชั้นต้นจึงรับฟังแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินทำขึ้นดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นได้”
พิพากษายืน

Share