แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่ง เมื่อมีการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นพิจารณาได้เอง หรือคู่ความฝ่ายที่เสียหายมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนได้ ส่วนระยะเวลาในการยื่นคำร้อง มาตรา 27 วรรคสอง กำหนดให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายต้องยื่นไม่ช้ากว่า 8 วัน นับแต่วันที่ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าวใช้บังคับแก่การยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบทุกกรณีไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างพิจารณาหรือหลังจากศาลพิพากษา คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดอ่านคำสั่งศาลฎีกาและคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 14 มิถุนายน 2559 ในวันนัดดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาซึ่งมีคำสั่งว่าไม่อนุญาตให้โจทก์นำสืบพยานเพิ่มเติม ให้ยกคำร้องของโจทก์ทั้งสามฉบับ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไป และศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา หากโจทก์เห็นว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดหลงหรือผิดระเบียบ โจทก์ต้องยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวและต้องไม่ช้ากว่า 8 วัน นับแต่วันดังกล่าว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง แต่โจทก์มิได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น กรณีจึงไม่มีคำสั่งของศาลชั้นต้นที่จะทำให้โจทก์มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 การที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาของศาลชั้นต้น จึงเป็นการปฏิบัติที่ผิดขั้นตอนไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. ซึ่งศาลอุทธรณ์ไม่อาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และจำเลยร่วม โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 30 กันยายน 2558 แต่ในวันที่ 29 กันยายน 2558 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้งดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาและให้ส่งสำนวนคืนศาลฎีกา ซึ่งก่อนหน้านี้ในวันที่ 25 กันยายน 2558 โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาครั้งที่ 1 และคำร้องขอสืบพยานเพิ่มในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาและส่งสำนวนคืนศาลฎีกาพิจารณา
ศาลชั้นต้นนัดอ่านคำสั่งศาลฎีกาและคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 14 มิถุนายน 2559 แต่ในวันที่ 13 มิถุนายน 2559 โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาครั้งที่ 2 และยื่นคำร้องขอสืบพยานเพิ่มในชั้นฎีกาตามที่ขอระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้งดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาและให้ส่งสำนวนคืนศาลฎีกามาด้วย
ครั้นถึงวันนัด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเฉพาะในคำร้องขอสืบพยานเพิ่มในชั้นฎีกาของโจทก์ว่า ศาลฎีกามีซองคำสั่งในเรื่องดังกล่าวมาให้ศาลชั้นต้นอ่านในวันนี้แล้ว ให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งในคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาครั้งที่ 2 ของโจทก์ว่า ศาลยกคำร้องขอสืบพยานเพิ่มแล้ว จึงยกคำแถลงนี้ ในวันดังกล่าวศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกา โดยศาลฎีกามีคำสั่งว่า ไม่อนุญาตให้โจทก์นำสืบพยานเพิ่มเติม ให้ยกคำร้องทั้งสามฉบับ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไป และศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังแล้ว
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 13 มิถุนายน 2559 ขอให้ศาลชั้นต้นงดการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาและส่งสำนวนคืนศาลฎีกา เนื่องจากโจทก์แถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกา ครั้งที่ 2 และยื่นคำร้องขอสืบพยานเพิ่มในชั้นฎีกา แต่ศาลชั้นต้นไม่สั่งคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นงดการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวของโจทก์ และได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ การที่ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการก้าวล่วงอำนาจของศาลฎีกาที่จะพิจารณาว่าสมควรจะให้โจทก์สืบพยานหรือไม่ นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง เมื่อมีการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นพิจารณาได้เอง หรือคู่ความฝ่ายที่เสียหายมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนได้ ส่วนระยะเวลาในการยื่นคำร้อง มาตรา 27 วรรคสอง กำหนดให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายต้องยื่นไม่ช้ากว่า 8 วัน นับแต่วันที่ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ซึ่งระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าวนี้ใช้บังคับแก่การยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบทุกกรณีไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างพิจารณาหรือหลังจากศาลพิพากษา คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดอ่านคำสั่งศาลฎีกาและคำพิพากษาฎีกาในวันที่ 14 มิถุนายน 2559 โดยในวันนัดดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งศาลฎีกา ซึ่งมีคำสั่งว่าไม่อนุญาตให้โจทก์นำสืบพยานเพิ่มเติม ให้ยกคำร้องทั้งสามฉบับ (เดิม) และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไป และศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งหากโจทก์เห็นว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดหลงหรือผิดระเบียบโจทก์ต้องยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวและต้องไม่ช้ากว่า 8 วัน นับแต่วันดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง แต่โจทก์มิได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น กรณีจึงไม่มีคำสั่งของศาลชั้นต้นที่จะทำให้โจทก์มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 การที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาของศาลชั้นต้น จึงเป็นการปฏิบัติผิดขั้นตอนไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งศาลอุทธรณ์ไม่อาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ