คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1564/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาด ถือว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงไม่อาจมีคำพิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ได้ กรณีเช่นว่านี้โจทก์อาจขอให้จัดการทรัพย์มรดกของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์จะต้องขอให้เรียกทายาทหรือผู้จัดการมรดกหรือผู้ปกครองทรัพย์เข้ามาแก้คดีแทนลูกหนี้ที่ตายนั้น ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 83 และ 87 ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ก่อน การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาดจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาให้ศาลอุทธรณ์ดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ใหม่
การที่ศาลออกหมายบังคับคดี แต่จำเลยที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้นั้น เข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาตรา 8(5) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว แต่พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 คงมีเพียงคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นการเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ หามีน้ำหนักไม่ เมื่อข้อนำสืบของจำเลยที่ 2 ไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว คดีจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่อาจชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมด ทั้งไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 14876/2531 ของศาลชั้นต้น เป็นเงิน 137,299.22 บาท จำเลยทั้งสองไม่ชำระ และไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยทั้งสองจึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่เคยทราบถึงการฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 14876/2531 ของศาลชั้นต้น จึงไม่ได้ให้การต่อสู้คดี และไม่ได้ไปศาลตามกำหนดนัด อีกทั้งจำเลยทั้งสองมีหน้าที่การงานมีธุรกิจค้าขาย และไม่มีหนี้สินอื่นใดนอกจากที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองเฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองไว้เด็ดขาดตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2542 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามระเบียบแล้ว แต่ตามทางสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2541 ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาด ถือว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่อาจมีคำพิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ได้ โดยโจทก์อาจขอให้จัดการทรัพย์มรดกของจำเลยที่ 1 ที่ตายได้ และในการขอจัดการทรัพย์มรดกของจำเลยที่ 1 โจทก์จะต้องขอให้เรียกทายาทหรือผู้จัดการมรดกหรือผู้ปกครองทรัพย์เข้ามาแก้คดีแทนลูกหนี้ที่ตายนั้นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 83 และ 87 ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาดจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 2 เท่านั้น ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 2 เป็นหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีหมายเลขแดงที่ 14876/2531 ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 74,375 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 42,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ไม่ชำระ คิดถึงวันฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 2 คงเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน137,299.22 บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่อาจชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมดหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลออกหมายบังคับคดี แต่จำเลยที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้นั้น เข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัว ตามมาตรา 8(5) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว จำเลยที่ 2 นำสืบว่า มีรายได้จากการจัดแข่งรถ จำหน่ายของที่ระลึก จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มในสนามแข่งรถเป็นเงิน 100,000 บาท ต่อเดือน แม้การจัดการแข่งรถนั้นนายปรีดา จุลละมณฑล พยานจำเลยเบิกความว่าในแต่ละเดือนจำเลยที่ 2 จะจัดการแข่งรถประมาณ 2 ครั้ง หรือมากกว่านั้น รายได้จากการแข่งขันหลังจากหักค่าเงินรางวัลและค่าตอบแทนกรรมการแล้วจะมีรายได้ประมาณ 100,000 บาท หรือมากกว่านั้นต่อครั้ง สำหรับหน้าฝนจะจัดแข่งรถเดือนละครั้ง แต่จำเลยที่ 2 กลับไม่นำเอกสารทางบัญชีรับจ่ายว่าจำเลยที่ 2 มีรายได้จากการแข่งรถเป็นเงินเท่าใด และรายการแข่งรถที่จะมีต่อไปในภายหน้าที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดแข่ง อันจะเป็นผลนำไปสู่รายรับที่จำเลยที่ 2 จะได้รับ จำเลยที่ 2 ก็ไม่นำมาแสดงต่อศาลให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 จะมีรายได้จากการแข่งรถพอที่จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทั้งหมด พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 คงมีเพียงคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นการเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ หามีน้ำหนักไม่ ดังนี้ เมื่อข้อนำสืบของจำเลยที่ 2 ไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว คดีจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่อาจชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมด ทั้งไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ให้ศาลอุทธรณ์ดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับจำเลยที่ 1 ในชั้นนี้ให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับจำเลยที่ 2 ชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share