คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1562/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ชายและหญิงที่อยู่กินฉันสามีภริยากันหลังจากประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส หากชายหรือหญิงได้ทรัพย์สินใดมาในระหว่างที่อยู่กินฉันสามีภริยากัน ทรัพย์นั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างชายกับหญิงก็ต่อเมื่อชายและหญิงได้ร่วมแรงรวมทุนหาทรัพย์สินนั้นมา หากเป็นทรัพย์สินที่บุคคลอื่นยกให้แก่ชายหรือหญิง หรือชายหรือหญิงได้มาด้วยแรงหรือด้วยทุนของตน ทรัพย์สินนั้นก็เป็นกรรมสิทธิ์ของชายหรือหญิงซึ่งได้รับการยกให้หรือซึ่งออกทุนออกแรงแต่ฝ่ายเดียว ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกัน
จำเลยและผู้ร้องอยู่กินฉันสามีภริยาหลังจากประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ระหว่างที่อยู่กินกับผู้ร้องได้รับ ยกให้ที่ดินพิพาท ต่อมาผู้ร้องขายที่ดินพิพาทให้แก่ บ.แล้วซื้อคืนจาก บ. โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องเอาเงินที่ผู้ร้องและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกันไปซื้อคืน โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาได้นำยึดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดและมีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ โดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของภริยาจำเลย ผู้ร้องจึงร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ ดังนี้กรณีต้องสันนิษฐานว่าผู้ร้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแต่ผู้เดียว เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวให้ได้ความว่าผู้ร้องซื้อที่พิพาทคืนด้วยเงินที่ผู้ร้องและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน มิฉะนั้นโจทก์จะยึดที่พิพาทไม่ได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาและพิพากษาและสืบเนื่องจากจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี แล้วนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดที่ 7894 ซึ่งมีชื่อนางอ๊ะ ศรีสมัย เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และยึดเรือนชั้นเดียว 3 หลังแฝดซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของภริยาจำเลย

นางอ๊ะห์ ศรีสมัย ผู้ร้องสำนวนแรกร้องว่า ที่ดินโฉนดที่ 7894 ที่โจทก์นำยึดไม่ใช่เป็นของจำเลย แต่เป็นที่ดินของผู้ร้องแต่ผู้เดียว ขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยที่ดินโฉนดที่ 7894

ผู้ร้องสำนวนหลังร้องว่า เรือนชั้นเดียว 3 หลังแฝดที่โจทก์นำยึดไม่ใช่เป็นของจำเลย เดิมเป็นของนางเผือก สะยอวรรณ แล้วตกเป็นมรดกแก่ผู้ร้องที่ 1 และทายาทอื่นอีก 5 คน ต่อมาผู้ร้องที่ 1 และทายาทอื่นโอนให้ผู้ร้องที่ 2 โดยยังอยู่ในระหว่างประกาศของทางราชการ ขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยเรือนดังกล่าว

โจทก์ให้การแก้คำร้องทั้งสองสำนวนทำนองเดียวกันว่า จำเลยเป็นสามีของผู้ร้องสำนวนแรก เดิมนายเต๊ะ สะยอวรรณ ยกที่ดินโฉนดที่ 7894 ให้ผู้ร้องสำนวนแรก แต่ผู้ร้องสำนวนแรกขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายบุญส่ง ผ่องสวัสดิ์ไปแล้ว ปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาขายที่ดินท้ายคำให้การหมาย 1 ต่อมาวันที่ 24 มิถุนายน 2509 ผู้ร้องสำนวนแรกซื้อที่ดินดังกล่าวคืนจากนายบุญส่ง ผ่องสวัสดิ์ และจำเลยในฐานะสามีของผู้ร้องสำนวนแรกลงชื่อเป็นพยานด้วย ปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือขายที่ดินท้ายคำให้การหมาย 2 จำเลยจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวร่วมกับผู้ร้อง มิใช่ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว เรือนชั้นเดียว 3 หลังแฝดเป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดที่ 7894 ซึ่งจำเลยและผู้ร้องสำนวนแรกร่วมกันปลูกสร้าง ผู้ร้องทั้งสองสำนวนไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินดังกล่าว ขอให้ศาลยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองสำนวน

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ที่พิพาทไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องสำนวนแรกแต่ผู้เดียว และเรือนพิพาทไม่ใช่เป็นของนางเผือก สะยอวรรณ แต่ที่พิพาทและเรือนพิพาทเป็นทรัพย์ที่จำเลยและผู้ร้องสำนวนแรกซึ่งอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสทำมาหาได้ร่วมกัน ที่พิพาทและเรือนพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องสำนวนแรก ผู้ร้องทั้งสองสำนวนไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยที่พิพาทและเรือนพิพาท พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองสำนวน

ผู้ร้องทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องทั้งสองสำนวนฎีกา

ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยและผู้ร้องสำนวนแรกอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสตั้งแต่ พ.ศ. 2485 เมื่อ พ.ศ. 2501 นายละเต๊ะยกที่พิพาทให้ผู้ร้องสำนวนแรก แล้วผู้ร้องสำนวนแรกขายที่พิพาทให้แก่นายบุญส่งเมื่อ พ.ศ. 2507 และเมื่อ พ.ศ. 2509 นายบุญส่งได้ขายที่พิพาทคืนให้ผู้ร้องสำนวนแรกโดยจำเลยลงชื่อเป็นพยานด้วย เรือนพิพาทปลูกอยู่ในที่พิพาท

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เรือนพิพาทไม่เป็นมรดกของนางเผือก ผู้ร้องสำนวนหลังไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยเรือนพิพาท เพราะไม่มีส่วนได้เสียในเรือนพิพาทและวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ในกรณีที่ชายและหญิงอยู่กินฉันสามีภริยากันหลังจากประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 แล้ว โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน หากชายหรือหญิงได้ทรัพย์สินใดมาในระหว่างที่อยู่กินฉันสามีภริยากัน ทรัพย์นั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างชายกับหญิงซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยากันก็ต่อเมื่อชายและหญิงได้ร่วมแรงร่วมทุนหาทรัพย์สินนั้นมา หากเป็นทรัพย์สินที่บุคคลอื่นยกให้แก่ชายหรือหญิงหรือชายหรือหญิงได้มาด้วยแรงหรือด้วยทุนของตน ทรัพย์สินนั้นก็เป็นกรรมสิทธิ์ของชายหรือหญิงซึ่งได้รับการยกให้และซึ่งออกทุนออกแรงแต่ฝ่ายเดียว ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างชายกับหญิง เพราะไม่ได้ร่วมแรงร่วมทุนหาทรัพย์สินนั้นมา เมื่อผู้ร้องสำนวนแรกได้ที่พิพาทมาครั้งแรกใน พ.ศ. 2501 ก็โดยนายละเต๊ะยกให้ผู้ร้องสำนวนแรก ที่พิพาทจึงไม่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างจำเลยกับผู้ร้องสำนวนแรก แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องสำนวนแรกฝ่ายเดียว เมื่อผู้ร้องสำนวนแรกได้ที่พิพาทมาครั้งที่ 2 ในพ.ศ. 2509 โดยซื้อคืนจากนายบุญส่งนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องสำนวนแรกเอาเงินที่ผู้ร้องสำนวนแรกและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกันไปซื้อที่พิพาทคืนจากนายบุญส่ง ทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทร่วมกับผู้ร้องสำนวนแรก เมื่อนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่พิพาท โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นของภริยาจำเลย ที่พิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดและมีชื่อผู้ร้องสำนวนแรกเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อจำเลยและผู้ร้องมิได้เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงต้องสันนิษฐานว่า ผู้ร้องสำนวนแรกเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแต่ผู้เดียว จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวเมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าผู้ร้องสำนวนแรกซื้อที่พิพาทคืนจากนายบุญส่งด้วยเงินที่ผู้ร้องสำนวนแรกและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน จึงต้องฟังว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้องสำนวนแรกแต่ผู้เดียว เมื่อจำเลยไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทร่วมกับผู้ร้องสำนวนแรก โจทก์จะยึดที่พิพาทไม่ได้ ที่ผู้ร้องสำนวนแรกฎีกาขอให้ปล่อยที่พิพาทนั้นฟังขึ้น

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ปล่อยที่ดินโฉนดที่ 7894นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share