แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้เสียกับผู้เยาว์อายุ 16 ปี แล้วชวนผู้เยาว์ไปอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่ไปจะเปิดเผยเรื่องที่ได้เสียกัน ผู้เยาว์กลัวคำขู่จึงยอมไปกับจำเลย จะถือว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยกับจำเลยหาได้ไม่
หลังจากจำเลยได้พาผู้เยาว์ตระเวนไปตามจังหวัดต่างๆ แล้วจำเลยจะให้ผู้เยาว์ไปมีอาชีพเป็นหญิงนั่งชั่วโมงตามร้านอาหาร ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นอาชีพที่เกี่ยวกับกามารมณ์ มิใช่จำเลยมุ่งหมายจะเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภรรยา จึงถือได้ว่าจำเลยพาผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319แม้ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามมาตรา 318 ศาลก็ปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ (อ้างฎีกาที่119/2517)
ในชั้นฎีกาคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ซึ่งศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วนั้น ถ้าข้อเท็จจริงเท่าที่ศาลอุทธรณ์ฟังมานั้นไม่พอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมหยิบยกข้อเท็จจริงอื่นๆ ในสำนวนขึ้นพิจารณาประกอบได้ (อ้างฎีกาที่ 1094/2507)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราหญิงผู้เสียหายอายุ 16 ปี และพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจาร โดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 319 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 7 ข้อ 12
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 จำคุก 3 ปี คำให้การของจำเลยมีประโยชน์ในการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี จำเลยอายุ 19 ปี ไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ ส่วนข้อหาข่มขืนกระทำชำเราให้ยกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นการพรากผู้เยาว์ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319หรือไม่นั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงเท่าที่ศาลอุทธรณ์ฟังมานั้นไม่พอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาก็หยิบยกข้อเท็จจริงอื่น ๆ ในสำนวนขึ้นพิจารณาประกอบได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1094/2507
ศาลฎีกาพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วฟังว่า ผู้เสียหายอายุ 16 ปีเศษ เป็นผู้เยาว์ กำลังเล่าเรียนหนังสืออยู่ในความดูแลของมารดา จำเลยพาผู้เสียหายตระเวนไปในที่ต่าง ๆ หลายวัน ได้กระทำชำเราผู้เสียหายหลายครั้ง การที่ผู้เสียหายยอมไปกับจำเลยก็เพราะจำเลยขู่ว่าจะเปิดเผยความลับ หลังจากจำเลยได้พาผู้เสียหายตระเวนไปตามจังหวัดต่าง ๆ แล้ว จำเลยจะให้ผู้เสียหายไปมีอาชีพเป็นหญิงนั่งชั่วโมงตามร้านอาหาร ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นอาชีพที่เกี่ยวกับกามารมณ์ มิใช่จำเลยมุ่งหมายจะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภรรยา จึงถือได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยต่อไปว่า ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายไปกับจำเลยเพราะจำเลยขู่บังคับหาใช่เต็มใจไปด้วยไม่การกระทำผิดของจำเลยจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 318 วรรคท้าย ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 12 แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ศาลก็ปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 119/2517 แต่ศาลล่างพิพากษาปรับบทโดยมิได้ระบุประกาศของคณะปฏิวัติ ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้บริบูรณ์
จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 12 นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์