คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ผลิตน้ำตาลทรายดิบและน้ำตาลทรายขาวออกจำหน่ายจึงเป็นผู้ประกอบการค้า และน้ำตาลทรายดิบเป็นสินค้าที่ระบุไว้ในบัญชีไม่ได้รับยกเว้นภาษีการค้า โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรกรณีการขายน้ำตาลทรายดิบให้ผู้ส่งออกเป็นผู้เสียภาษีการค้า แม้ว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าแต่เมื่อมีประกาศผลักภาระการเสียภาษีให้แก่ผู้ส่งออก เท่ากับเป็นการเปลี่ยนตัวผู้เสียภาษีการค้าจากผู้ผลิตมาเป็นผู้ส่งออกจึงต้องคืนเงินค่าภาษีการค้า เงินเพิ่มภาษีการค้าและภาษีรายได้ส่วนท้องถิ่นให้แก่โจทก์ จังหวัดจำเลยที่ 2 เป็นเพียงหน่วยงานที่บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในส่วนภูมิภาค การจัดเก็บภาษีอากรเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 โดยตรง จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดคืนเงินโจทก์ ปัญหานี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ มาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติให้ผู้รับเงินภาษีอากรคืนได้ดอกเบี้ยด้วยโดยไม่คิดทบต้น แต่มิให้เกินจำนวนเงินภาษีอากรที่ได้รับคืน เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันถัดจากวันครบระยะเวลาสามเดือน นับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงิน เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องวันที่ 26 พฤษภาคม 2524 ต้องเริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 27สิงหาคม 2524 เป็นต้นไป ให้จำเลยรับผิดดอกเบี้ยไม่เกินจำนวนเงินภาษีที่โจทก์ได้รับคืนตามมาตรา 4 ทศ วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ในการผลิตน้ำตาลทรายดิบและน้ำตาลทรายขาวเพื่อจำหน่ายจำเลยที่ 1 เป็นกรมสังกัดกระทรวงการคลัง จำเลยที่ 2 เป็นจังหวัดสังกัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานสรรพากรจังหวัดสิงห์บุรีเป็นส่วนราชการภายใต้บังคับบัญชาและสั่งการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2523 โจทก์ได้ขายน้ำตาลทรายดิบให้แก่องค์การคลังสินค้า จำนวน 15,806 กระสอบ รวมเป็นเงิน 11,062,800 บาทโดยกำหนดให้ผู้ซื้อมอบน้ำตาลทรายดิบที่ซื้อให้ผู้ขายนำไปปรับปรุงคุณภาพโดยปั่นให้มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 0.4 เนื่องจากน้ำตาลทรายขาวภายในประเทศเกิดขาดแคลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ขอร้องให้ช่วยทางราชการด้วยการขายในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตทั้งนี้เพื่อองค์การคลังสินค้าจะได้นำไปจำหน่ายแก่ประชาชนเพื่อการบริโภค และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งในที่ประชุมว่าเป็นการซื้อขายน้ำตาลทรายดิบ ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรและเมื่อเป็นการขายน้ำตาลทรายดิบโจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร จำเลยที่ 1 สั่งให้สรรพากรจังหวัดสิงห์บุรีจัดเก็บภาษีการค้าจากการขายน้ำตาลทรายดิบของโจทก์ในอัตราร้อยละ 7 ของรายรับ วันที่ 12 กันยายน 2523 โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการการค้าและชำระภาษีการค้า เจ้าพนักงานประเมินของสำนักงานสรรพากรจังหวัดสิงห์บุรีได้ประเมินให้โจทก์เสียเงินเพิ่มภาษีการค้าและภาษีรายได้ส่วนท้องถิ่น รวมเป็นเงินที่ชำระจำนวน 868,872.31 บาทโจทก์ขายน้ำตาลทรายดิบให้องค์การคลังสินค้าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าเพราะโจทก์เป็นผู้ผลิตไม่ใช่ผู้ส่งออกน้ำตาลทรายดิบที่นำไปปั่นให้ความชื้นน้อยลงยังคงเป็นน้ำตาลทรายดิบ ต่อมาวันที่ 26 พฤษภาคม 2524 โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอคืนภาษี แต่สรรพากรจังหวัดสิงห์บุรีและจำเลยที่ 1 แจ้งว่าการเสียภาษีการค้าถูกต้องแล้วไม่คืน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนเงินภาษีการค้าเงินเพิ่มภาษีการค้าและภาษีรายได้ส่วนท้องถิ่นจำนวน 868,872.31 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับองค์การคลังสินค้าไม่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เพราะตามสัญญาให้โจทก์นำน้ำตาลทรายดิบไปปั่นใหม่ให้มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 0.4องค์การคลังสินค้าจึงจะรับมอบน้ำตาลทรายดิบจะสูญหายไปเพราะการปั่นถือว่าเป็นน้ำตาลชนิดอื่นซึ่งโจทก์ต้องชำระภาษีการค้า มิใช่เป็นการจำหน่ายน้ำตาลทรายดิบ การเสียภาษีการค้าของโจทก์ถูกต้องแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2523 โจทก์ได้ทำสัญญาขายน้ำตาลทรายดิบให้กับองค์การคลังสินค้าจำนวน 15,806 กระสอบ ราคากระสอบละ 700 บาทรวมเป็นเงิน 11,064,200 บาท และตามสัญญาข้อ 3 กำหนดให้โจทก์ต้องนำน้ำตาลทรายดิบไปปั่นให้ความชื้นลดลงเหลือไม่เกินร้อยละ 0.4โจทก์ได้ส่งมอบน้ำตาลทรายดิบและรับชำระเงินเรียบร้อย ต่อมาสรรพากรจังหวัดสิงห์บุรีได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปเสียภาษีการค้าในการขายน้ำตาลทรายดิบให้กับองค์การคลังสินค้าดังกล่าว วันที่ 12 กันยายน2523 โจทก์ได้ไปยื่นแบบแสดงรายการการค้าเสียภาษีการค้าเงินเพิ่มภาษีการค้า ภาษีรายได้ส่วนท้องถิ่นรวมเป็นเงิน 868,872.31 บาทโจทก์ได้ชำระภาษีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้งดเบี้ยปรับ ทางจังหวัดก็งดเบี้ยปรับให้ตามขอ และต่อมาโจทก์มีหนังสือขอคืนเงินภาษีการค้า สรรพากรจังหวัดสิงห์บุรีมีหนังสือลงวันที่ 11 สิงหาคม 2524 ว่า โจทก์ชำระค่าภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 ของรายรับถูกต้องแล้ว ไม่มีกรณีต้องพิจารณาคืนภาษีแต่ประการใด มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 78 วรรคแรก บัญญัติว่า”ผู้ประกอบการค้าตามที่ระบุในบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวดนี้มีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับของทุกเดือนภาษี ตามอัตราในบัญชีอัตราภาษีการค้าดังกล่าวนั้น” โจทก์เป็นผู้ผลิตน้ำตาลทรายดิบและน้ำตาลทรายขาวออกจำหน่าย จึงเป็นผู้ประกอบการค้า ประเภทการค้า 1การขายของ ชนิด 1(ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าที่ใช้บังคับในขณะนั้นและเนื่องจากน้ำตาลทรายดิบเป็นสินค้าที่ระบุไว้ในบัญชีที่ 1หมวด 1(7) ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517จึงไม่ได้รับยกเว้นภาษีการค้าตามมาตรา 5(8) แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า แต่ปัญหาต่อไปมีว่าโจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามฟ้องหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ได้รับยกเว้นตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า(ฉบับที่ 18) ซึ่งกำหนดหน้าที่เสียภาษีการค้าตามมาตรา 78 วรรคสองแห่งประมวลรัษฎากรในข้อ 3 ว่า ในกรณีการขายน้ำตาลทรายดิบผู้ส่งออกเป็นผู้เสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 ของรายรับนั้นเห็นว่า ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้าดังกล่าวให้ผู้ส่งออกเป็นผู้เสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 ของรายรับดังนั้น แม้ว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าแก่จำเลยในอัตราร้อยละ 7 ของรายรับ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ได้มีประกาศผลักภาระการเสียภาษีให้แก่ผู้ส่งออกต้องชำระภาษีเต็มในอัตราภาษีร้อยละ 7ของรายรับเสียแล้ว เท่ากับจำเลยยอมเปลี่ยนตัวผู้เสียภาษีการค้าจากผู้ผลิตมาเป็นผู้ส่งออก จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินค่าภาษีการค้าเงินเพิ่มภาษีการค้า และภาษีรายได้ส่วนท้องถิ่นตามฟ้องให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น แต่สำหรับความรับผิดของจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 เป็นเพียงหน่วยงานที่บังคับบัญชาพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในส่วนภูมิภาคเท่านั้นส่วนการจัดเก็บภาษีอากรเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 โดยตรง ดังนั้นจำเลยที่ 2 จึงหาต้องรับผิดคืนเงินภาษีแก่โจทก์ไม่ ซึ่งปัญหานี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่โจทก์ขอคืนภาษีอากรคือตั้งแต่วันที่26 พฤษภาคม 2524 นั้น มาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับขณะโจทก์ต้องเสียภาษีอากรตามฟ้อง บัญญัติว่า ให้ผู้ที่ได้รับคืนเงินภาษีอากรได้รับดอกเบี้ยด้วยในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง แต่มิให้เกินจำนวนเงินภาษีอากรที่ได้รับคืน และตามกฎกระทรวงฉบับที่ 133 (พ.ศ. 2516)ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากรข้อ 1(2) กรณีคืนเงินภาษีอากรที่ชำระตามแบบแสดงรายการให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันถัดจากวันครบระยะเวลาสามเดือน นับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอคืนวันที่26 พฤษภาคม 2524 จึงครบกำหนดระยะเวลาสามเดือนนับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรวันที่ 26 สิงหาคม 2524 ต้องเริ่มคิดดอกเบี้ยให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2524 เป็นต้นไป และโจทก์ขอให้จำเลยรับผิดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ซึ่งไม่มากไปกว่าอัตราที่มาตรา 4 ทศ วรรคแรก บัญญัติไว้ จึงให้จำเลยที่ 1ชดใช้ให้โจทก์ในอัตราดังกล่าว แต่ไม่เกินจำนวนเงินภาษีอากรที่โจทก์ได้รับคืนตาม มาตรา 4 ทศ วรรคสอง อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีอากรตามฟ้องจำนวน 868,872.31 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2524 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และดอกเบี้ยทั้งหมดต้องไม่เกินจำนวนเงินภาษีอากรที่โจทก์ได้รับคืน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share