แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำผิดของจำเลยเป็น 2 ข้อหา โดยตอนแรกบรรยายว่าจำเลยทำไม้โดยตัดฟันชักลากและนำไม้ตะแบกซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติข้อหาหนึ่ง กับบรรยายฟ้องต่อไปว่า หรือมิฉะนั้นตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยรับไว้ด้วยประการใด ๆซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสียซึ่งไม้หวงห้ามโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้ที่ผู้ได้มาโดยการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติอีกข้อหาหนึ่ง การที่โจทก์บรรยายฟ้องตอนแรกยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ทำไม้โดยมิได้รับอนุญาตส่วนตอนหลังโจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้รับไว้ ซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียซึ่งไม้หวงห้าม เท่ากับฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยมิได้เป็นผู้ทำไม้ แต่เป็นผู้รับไม้ไว้จากบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ทำไม้ เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำไม้โดยตัดฟันชักลากและนำไม้ตะแบกซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. จำนวน ๔๕ ท่อน ปริมาตร ๓.๘๒ ลูกบาศก์เมตร ออกจากป่าคลองตะเคียน ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือมิฉะนั้นตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยรับไว้ด้วยประการใด ๆซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสียซึ่งไม้หวงห้ามดังกล่าว โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้ที่ผู้ได้มาโดยการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ และตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยได้ขับรถยนต์บรรทุกโดยมิได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนตามกฎหมาย เจ้าพนักงานยึดได้ไม้ตะแบกและรถยนต์บรรทุกดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑, ๓๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓ พระราชบัญญัติขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๒, ๙๓, ๑๕๑ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ และริบไม้ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกฐานทำไม้ ๒ ปี และขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต ๒ เดือน รวมจำคุก ๒ ปี ๒ เดือนลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง จำคุก ๑ ปี ๑ เดือนของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องการกระทำผิดสองข้อหาเป็นการกระทำต่างกันและเป็นความผิดต่างฐานความผิดกัน จำเลยให้การรับสารภาพโดยมิได้ให้รายละเอียดว่ากระทำผิดฐานใด เป็นคำรับสารภาพที่ไม่ชัดแจ้ง ลงโทษไม่ได้ พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องเฉพาะความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำผิดของจำเลยเป็น ๒ ข้อหา กล่าวคือ จำเลยทำไม้โดยตัดฟันชักลากและนำไม้ตะแบกซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. จำนวน ๔๕ ท่อน รวมปริมาตร ๓.๘๒ ลูกบาศก์เมตรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑, ๓๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓ ข้อหาหนึ่ง กับบรรยายฟ้องต่อไปว่า หรือมิฉะนั้น ตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยรับไว้ด้วยประการใด ๆซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียซึ่งไม้หวงห้าม โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้ที่ผู้ได้มาโดยการกระทำผิด ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๓๔ อีกข้อหาหนึ่ง ดังนี้พิเคราะห์แล้ว ตอนแรกโจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ทำไม้โดยมิได้รับอนุญาต ตอนหลังโจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้รับไว้ ซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสียซึ่งไม้หวงห้าม เท่ากับฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยมิได้เป็นผู้ทำไม้ แต่เป็นผู้รับไม้ไว้จากบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ทำไม้ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ขัดแย้งกัน เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘
พิพากษายืน