คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1554/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองเข้าไปพักในห้องเกิดเหตุกับผู้ตายเวลาประมาณ1 น. ออกจากห้องไปเวลาประมาณ 11 น. พบศพผู้ตายเวลาประมาณ13 น.เศษ แพทย์ทำการผ่าศพตรวจพิสูจน์เมื่อเวลา 18.40 น.สันนิษฐานว่าผู้ตาย ตายมาแล้วอย่างน้อย 12 ชั่วโมง อย่างมากไม่เกิน 15 ชั่วโมง ฉะนั้นเวลาที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นช่วงเวลาระหว่าง 4 ถึง 7 น. ของวันเดียวกันอันเป็นเวลาที่จำเลยทั้งสองยังมิได้ออกไปจากห้องที่เกิดเหตุ ไม่มีเหตุทำให้คิดได้ว่าจะมีผู้อื่นใดฆ่าผู้ตายพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีบ่งชี้อย่างใกล้ชิดว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ร่วมกันฆ่าผู้ตาย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 20 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นตามทางนำสืบของโจทก์ โดยจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบโต้เถียงเป็นอย่างอื่นว่า เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2525 เวลาประมาณระหว่าง 1นาฬิกา ถึง 3 นาฬิกา มีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 2 คนร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายหญิงไม่ทราบชื่อจนถึงแก่ความตายในห้องพักเลขที่ 108 โรงแรมลัคกี้ ซอยสุขุมวิท 26 แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครโดยคนร้ายมีเจตนาฆ่าให้ตาย คืนวันเดียวกันนี้เวลาประมาณ 1นาฬิกา จำเลยทั้งสองได้ไปพักค้างคืนที่โรงแรมที่เกิดเหตุกับหญิงคนหนึ่ง และจำเลยทั้งสองได้ออกจากโรงแรมไปเมื่อเวลาประมาณ 10-11 นาฬิกา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่…
ในปัญหาที่ว่า จำเลยทั้งสองได้พาผู้ตายไปพักในห้องที่เกิดเหตุหรือไม่นั้นโจทก์มีประจักษ์พยานคือ นายสมบัติ สิงหะหรือสิงหา นายสุรชัย ไชยมี และนายรัศมี บัญชา พนักงานโรงแรมที่เกิดเหตุ ซึ่งต่างเบิกความว่าขณะที่ทำหน้าที่อยู่ เห็นจำเลยทั้งสองมากับผู้ตายและเข้าพักห้องที่เกิดเหตุ โดยพยานดังกล่าวต่างเบิกความว่า รู้จักจำเลยทั้งสองดี เพราะจำเลยทั้งสองเคยมาพักที่โรงแรมนี้หลายครั้ง มีไฟฟ้าสว่างจากทางเดินจากใต้บันไดขึ้นชั้นสองและในห้องพัก นายสมบัติเบิกความว่าเห็นจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ตอนเข้าไปจอดรถจักรยานยนต์อยู่ใต้บันได และจำเลยที่ 2 กับผู้หญิงนั่งรถยนต์สี่ล้อเล็กเข้าไปแล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองด้วยกัน และนายสมบัติเป็นผู้ไปเปิดห้องพักให้จำเลยทั้งสอง โดยเปิดห้องที่เกิดเหตุนี้คนทั้งสามเข้าไปในห้องพักและสั่งอาหารและน้ำดื่ม แล้วนายสมบัติจึงไปสั่งอาหารและเครื่องดื่มให้ ส่วนนายสุรชัยเบิกความว่า เป็นผู้ยกน้ำและอาหารเข้าไปให้จำเลยในห้อง เมื่อเข้าไปมีไฟฟ้าเปิดสว่าง เห็นผู้ตายนอนอยู่บนเตียง และเห็นจำเลยทั้งสองชัดเจน พันตำรวจโทมารุต จันทร์นวล เบิกความว่า เมื่อไปตรวจห้องเกิดเหตุ และสอบถามนายสมบัติและนายสุรชัยถึงเรื่องผู้ที่มาพัก คนทั้งสองยืนยันว่าจำคนที่มาพักในห้องที่เกิดเหตุกับหญิงผู้ตายได้ เป็นคนที่มาพักเป็นประจำ ตลอดจนบอกถึงเครื่องแต่งกาย พาหนะคือรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขี่มาเป็นประจำ และรายละเอียดต่างๆ พันตำรวจโทมารุตได้บอกไว้ว่าหากชายดังกล่าวมาอีกให้แจ้งให้พยานทราบ ซึ่งต่อมาวันที่ 1ธันวาคม 2525 พยานก็ได้รับแจ้งว่า จำเลยที่ 1 ไปพักที่โรงแรมเกิดเหตุกับหญิงคนหนึ่ง จึงได้ไปจับจำเลยที่ 1 โดยทั้งนายสมบัติและนายสุรชัยต่างได้ยืนยันว่าเป็นคนที่มากับผู้ตายในคืนเกิดเหตุ และเมื่อจำเลยที่ 1 พาไปที่บ้านจำเลยที่ 2พยานทั้งสองก็ยืนยันว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนที่มากับจำเลยที่ 1 และผู้ตายด้วย จำเลยทั้งสองเบิกความยอมรับว่า เคยไปพักที่โรงแรมเกิดเหตุเป็นประจำ ฉะนั้นข้อเท็จจริงนี้ ประกอบกับข้อที่มีแสงสว่าง และระยะเวลาที่พบเห็นนานพอสมควร กับข้อที่ได้ยืนยันต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันทีว่าจำคนร้ายได้ ทั้งได้ติดต่อให้เจ้าพนักงานตำรวจมาจับกุม และชี้ให้เจ้าพนักงานตำรวจจับ แสดงว่าพยานจำคนร้ายได้ คดีจึงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองได้ไปพักที่ห้องเกิดเหตุในคืนเกิดเหตุกับผู้ตาย ที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า ในคืนเกิดเหตุได้ไปพักอีกห้องหนึ่ง และผู้หญิงที่จำเลยทั้งสองไปพักด้วยเป็นนางสาวสุรีย์รัตน์ งามประเสริฐมิใช่ผู้ตาย โดยมีนางสาวสุรีย์รัตน์เบิกความเป็นพยานนั้นเห็นว่า นางสาวสุรีย์รัตน์ได้ให้การชั้นสอบสวนถึงสองครั้งครั้งแรกตามเอกสารหมาย จ.8 และครั้งหลังตามเอกสารหมาย จ.12 โดยในครั้งแรกให้การว่าคืนเกิดเหตุได้อยู่กับนายสมชาย เจริญเพชรซึ่งเป็นสามีที่ไม่ได้จดทะเบียน ต่อมาในภายหลังจึงได้ให้การใหม่ว่า คืนเกิดเหตุไต้ไปค้างคืนกับจำเลยทั้งสอง ซึ่งตรงกับคำเบิกความเป็นพยานต่อศาลเป็นการให้การกลับไปกลับมาขาดน้ำหนัก ทั้งนายสมชายเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าวันที่ 1 ธันวาคม2525 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ได้สอบถามว่า คืนเกิดเหตุนางสาวสุรีย์รัตน์อยู่ที่ใด พยานได้ตอบไปว่า ตั้งแต่เวลาประมาณ 1 นาฬิกาของวันที่ 29 พฤศจิกายน 2525นางสาวสุรีย์รัตน์อยู่กับพยาน โดยมีร้อยตำรวจตรีไพฑูรย์คุ้มสระพรหม เบิกความสนับสนุนความข้อนี้ ซึ่งตรงกับคำให้การฉบับแรกของนางสาวสุรีย์รัตน์ อันเป็นการให้การในเวลาที่ยังไม่มีโอกาสคิดปรุงแต่ง จึงฟังไม่ได้ว่า คืนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองไปพักที่โรงแรมที่เกิดเหตุกับนางสาวสุรีย์รัตน์ ส่วนในปัญหาที่ว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันฆ่าผู้ตายหรือไม่นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่า คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 1 นาฬิกา จำเลยทั้งสองได้ไปพักที่ห้องเกิดเหตุกับผู้ตาย และนายสมบัติเบิกความว่า คืนเกิดเหตุก่อนที่จำเลยทั้งสองจะเข้าพัก ไม่มีแขกเข้าพักในห้อง 108 มาก่อน และตลอดเวลาที่พยานอยู่ดูแลแขก คือจนถึงเวลา 6 นาฬิกา จำเลยทั้งสองกับผู้หญิงที่ไปพักมิได้ออกจากห้อง ซึ่งนายสุรชัยก็เบิกความยืนยันเช่นเดียวกันจำเลยทั้งสองก็เบิกความรับว่าได้ออกจากโรงแรมไปเมื่อเวลาประมาณ 11 นาฬิกา และปรากฏตามคำเบิกความของพันตำรวจตรีนายแพทย์สุขุม พันธ์เพ็ง ผู้ผ่าศพของผู้ตายออกตรวจพิสูจน์ ประกอบกับรายงานการตรวจศพท้ายฟ้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของพยานดังกล่าวว่า หญิงผู้ตายตายมาแล้วอย่างน้อย 12 ชั่วโมง อย่างมากไม่เกิน 15 ชั่วโมง โดยนับถึงเวลาเอาศพเข้าห้องเย็น ซึ่งปรากฏว่าโรงพยาบาลได้รับศพเวลา 18.40 นาฬิกาของวันที่ 29 พฤศจิกายน2525 ฉะนั้นเวลาที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นช่วงเวลาระหว่าง4 นาฬิกา ถึง 7 นาฬิกา ของวันเดียวกัน อันเป็นเวลาที่จำเลยทั้งสองยังมิได้ออกไปจากห้องเกิดเหตุ และไม่มีเหตุที่จะให้คิดได้ว่าจะมีผู้อื่นได้ฆ่าผู้ตาย พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีดังกล่าวบ่งชี้ใกล้ชิดว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ร่วมกันฆ่าผู้ตาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์ฟังขึ้น’
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share