แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้คู่ความฝ่ายใดนำสืบก่อนหรือหลังนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากคู่ความฝ่ายใดไม่เห็นชอบ จะต้องโต้แย้งไว้จึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อศาลพิพากษาแล้ว หากไม่โต้แย้งไว้ ก็ไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ ๑ ให้ชำระหนี้เงินกู้พร้อมทั้งดอกเบี้ยหากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ก็ให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันชำระแทนจนครบ
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า ทราบว่าหนี้ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์นั้น ได้มีการชำระกันเสร็จไปแล้ว โจทก์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี สัญญาประนีประนอมยอมความท้ายฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย การค้ำประกันก็ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีผลบังคับจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำสืบก่อนแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินที่ค้างแก่โจทก์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ก็ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นให้จำเลยนำสืบก่อน ไม่ชอบ และจำเลยชำระหนี้แล้ว
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเรื่องหน้าที่นำสืบ จำเลยมิได้แถลงโต้แย้งไว้จึงอุทธรณ์ไม่ได้ และจำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้แถลงคัดค้านเรื่องหน้าที่นำสืบไว้ดังอ้าง คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้คู่ความฝ่ายใดนำสืบก่อนหรือหลังนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากคู่ความฝ่ายใดไม่เห็นชอบ ต้องโต้แย้งไว้ จึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อศาลพิพากษาแล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้โต้แย้งคำสั่งนี้ไว้ จึงไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์คำสั่งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๖ และจำเลยยังมิได้ชำระหนี้หมดดังข้อต่อสู้
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลยที่ ๑.