แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันปล้นทรัพย์รถจักรยานยนต์ของผู้ตาย โดยใช้อาวุธตีประทุษร้ายผู้ตาย โดยมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หากทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันฆ่าผู้ตาย และร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของผู้ตายไป ถือได้ว่าความผิดตามฟ้องรวมการกระทำหลายอย่างซึ่งแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลย่อมลงโทษจำเลยทั้งสามในการกระทำตามที่ทางพิจารณาได้ความก็ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันฆ่าผู้ตายและร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย แต่ให้ลงโทษเพียงกระทงเดียวในความผิดฐานฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นบทหนักที่สุด แม้โจทก์ไม่ฎีกา ก็มิได้หมายความว่าความผิดฐานลักทรัพย์ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 90, 289, 340 ริบของกลาง และให้จำเลยทั้งสามคืนหรือใช้ราคารถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน กมท ลำพูน 391 เป็นเงินจำนวน 37,000 บาท ให้แก่ทายาทผู้ตาย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคสอง, 340 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษประหารชีวิต ริบของกลาง และให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคารถจักรยานยนต์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงินจำนวน 37,000 บาท แก่ผู้เสียหาย (ที่ถูก ทายาทผู้ตาย) ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2และที่ 3
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิต ข้อหาอื่นให้ยก ยกคำขอที่ให้จำเลยทั้งสามคืนหรือใช้ราคารถจักรยานยนต์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงินจำนวน 37,000 บาท แก่ทายาทผู้ตายนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันปล้นทรัพย์รถจักรยานยนต์ของผู้ตายโดยใช้อาวุธตีประทุษร้ายผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หากทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันฆ่าผู้ตาย และร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของผู้ตายไป ถือได้ว่าความผิดตามฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง คือการฆ่าผู้อื่นและลักทรัพย์ ซึ่งแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลย่อมลงโทษจำเลยทั้งสามในการกระทำตามที่ทางพิจารณาได้ความก็ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสามคนร่วมกันฆ่าผู้ตายและร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย แต่ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามเพียงกระทงเดียวในความผิดฐานฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นบทหนักที่สุด โดยอ้างว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามเพียงกรรมเดียว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา จำเลยทั้งสามฎีกาว่า จำเลยทั้งสามมิได้กระทำผิด ขอให้ยกฟ้อง ก็มิได้หมายความว่าความผิดฐานลักทรัพย์ได้ยุติไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ให้จำคุก 20 ปี จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 7 ปีให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันคืนรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กมท ลำพูน 391 หรือใช้ราคารถจักรยานยนต์เป็นเงิน 37,000 บาท แก่ทายาทผู้ตาย ข้อหาและคำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก