คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1549/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นฟังว่าประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ฉบับลงวันที่ 20 ตุลาคม 2536 มีผลใช้บังคับกับสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลย การที่โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีได้ ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ฉบับลงวันที่ 1 มิถุนายน 2535 นั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการรับฟังพยานหลักฐาน อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้โดยยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๒,๗๑๔,๒๔๗.๔๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒,๖๒๓,๐๕๑.๕๑ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระ หากได้เงินไม่พอชำระ ให้บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนครบ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒,๐๒๕,๔๑๘.๐๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑,๘๑๘,๘๗๔.๕๕ บาท นับแต่วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ (วันถัดจากวันฟ้อง) จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๑๔๑๐ และ ๔๑๔๑๑ ตำบลบางปะกอก (บางปะกอกฝั่งเหนือ) อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระ หากได้เงินไม่พอชำระ ให้บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนครบ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๖ จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์วงเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตกลงดอกเบี้ยร้อยละ ๑๙ ต่อปี โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๑๔๑๐ และ ๔๑๔๑๑ ตำบลบางปะกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันไว้แก่โจทก์ หากบังคับจำนองชำระหนี้ไม่พอยินยอมให้บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นจนครบ บัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๔๐ หักทอนบัญชีแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๑,๙๗๓,๐๑๓.๓๕ บาท โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ได้ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๕ เพราะมีผลบังคับใช้อยู่ขณะโจทก์และจำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกันคือ วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๖ ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๖ ไม่มีผลบังคับใช้กับสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่โจทก์กับจำเลยทำกันไว้ก่อน เห็นว่า ศาลชั้นต้นฟังว่าประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๖ มีผลใช้บังคับกับสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลย การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ได้ ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๕ นั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการรับฟังพยานหลักฐาน อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป.

Share